
ซูเราะห์อัลมาอีดะฮ์ ต่อจากญุซที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งที่พระองค์ทรงกล่าวไว้
สรุปความ อัล-กุรอาน ญุซที่ 7
ซูเราะห์อัลมาอีดะฮ์ ต่อจากญุซที่ผ่านมา ... ส่วนหนึ่งที่พระองค์ทรงกล่าวไว้ดังนี้ :-
____________________
อัลมาอีดะฮ์ : 77
____________________
อัลลอฮทรงกล่าวแก่ท่านนบีมูฮัมหมัด(ซอลฯ) ให้ท่านกล่าวแก่ผู้ที่ได้รับคัมภีร์ทั้งหลายว่า จงอย่าปฏิบัติ ให้เกินขอบเขตของศาสนา ที่ปราศจากความจริง .. อย่าปฏิบัติ ตามความใคร่ ใฝ่ต่ำ ของพวกเขาบางกลุ่ม ที่เคยหลงผิดกัน และทำให้ผู้คนมากมาย หลงผิดไปด้วย
____________________
อัลมาอีดะฮ์ : 78
____________________
บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาในหมู่วงศ์วานอิสรออีลนั้น ได้ถูกสาปแช่ง ด้วยถ้อยคำ ของท่านนบีดาวูด(อ.ฮ.) และท่านนบีอีซา(อ.ฮ.) เพราะสิ่งที่พวกเขาฝ่าฝืน และละเมิด
(( ถ้อยคำของท่านนบีดาวุด (อ.ฮ.) คือต่อ พวก อัยละฮ์ .. วงศ์วานอิสราอีลในสมัยนั้น ที่ละเมิดคำบัญชาของอัลลอฮ .. และยิ่งทำความผิดมากขึ้นๆ .. ท่านนบี จึงขอดุอา ให้อัลลอฮ ทรงสาปแช่งพวกเขา.
ส่วนถ้อยคำของท่านนบีอีซา (อ.ฮ.) คือ ต่อพวกบนีอิสรออีล เช่นเดียวกัน .. หลังจากที่ได้ กินอาหาร ที่ถูกประทานมาจากฟากฟ้า .. พวกนี้ ก็ยังไม่ศรัทธาต่ออัลลอฮ .. ท่านนบี จึงขอดุอา ให้อัลลอฮ ทรงสาปแช่งพวกคนเหล่านี้ .
พวกบนีอิสรออีลเนี่ย จะมีความภาคภูมิใจ และหยิ่งในศักดิ์ศรีอย่างนึง .. ว่าพวกตน มีนบีเยอะ .. นบีหลายท่าน มาจากบนีอิสรออีล .. แต่สุดท้าย พวกนี้ ก็ถูกนบีของตน สาปแช่งตน .. เพราะพวกเขา ดื้อดึง และฝ่าฝืนอัลลอฮเป็นประจำ ))
____________________
อัลมาอีดะฮ์ : 82
____________________
จากนั้นอัลลอฮทรงกล่าวแก่ท่านนบีมูฮัมหมัด(ซอลฯ) ว่า แน่นอน ศัตรูที่ร้ายแรงที่สุดของบรรดาผู้ศรัทธานั้น คือชาวยิวและพวกปฏิเสธศรัทธา (ที่ถือเอาเจว็ด รูปปั้น มากราบไหว้)
และแน่นอน ผู้ที่มีความใกล้ชิดกับบรรดาผู้ศรัทธามากกว่า คือพวกชาวคริสต์ นั่นก็เพราะว่าในบรรดาพวกเขานั้น มีนักปราชญ์ และบาทหลวง และพวกเขานั้น ไม่เย่อหยิ่ง**
(( **ที่มาของอายัตนี้คือ ในช่วงเวลาที่มุสลิมลำบากในช่วงแรกของการเผยแพร่ บรรดามุสลิมได้ถูกกลั่นแกล้ง ทรมาน ไล่ล่า ทารุณ สารพัด จากพวกกุฟฟารมักกะฮ์ ตลอด 13 ปีที่นั่น
ในช่วงหนึ่งในเวลานั้น ท่านนบีมูฮัมหมัด(ซอลฯ) เห็นว่า กษัตริย์ อันนาญาชีย์ กษัตริย์แห่งดินแดนฮาบาชะฮ์ (ประเทศเอธิโอเปีย ปัจจุบัน) นั้นมีคุณธรรม จึงส่งบรรดาซอฮาบัตท่านส่วนหนึ่ง อพยพข้ามทะเลไป ไปหลบภัยอยู่กับเขา ซึ่งกษัตริย์ท่านนี้ เป็นคริสเตียน
มีเล่าจากหนังสือ อุมดะตุล กอรีย์ ซึ่งเป็นหนังสือ ที่อธิบายบรรดาฮาดิษ ที่บันทึกโดยอีหม่าม อัลบุคอรีย์ ว่า .. ซอฮาบัตท่านหนึ่งของท่านนบี (ซอลฯ) ในขณะนั้น คือ ท่าน ญะอ์ฟัร อิบนุ อาบี ฏอลิบ (ร.ฎ.) ได้ทำการอ่านอายัตอัลกุรอ่าน ให้แก่ กษัตริย์ อันนาญาชีย์ คนนี้ฟัง เมื่อท่านฟัง ท่านก็เข้ารับอิสลามทันที.. อายัตนี้จึงถูกประทานลงมา ว่าชาวคริสต์(ในขณะนั้น) เป็นผู้ใกล้ชิดยิ่งกว่า นั่นเอง ))
____________________
อัลมาอีดะฮ์ : 83
____________________
จากนั้น พระองค์ยังทรงกล่าวต่อว่า และเมื่อพวกเขา (รายงานจากท่าน อับดุลลอฮ อิบนุ อัซซุบัยร์ (ร.ฎ.) ว่า คือ กษัตริย์อันนาญาชีย์ กับข้าราชบริพาล นั้น) ได้ยินอัลกุรอ่าน ดวงตาของพวกเขานั้น ต่างหลั่งน้ำตา และพวกเขากล่าวว่า .. โอ้พระเจ้าของพวกข้าพระองค์ ได้โปรดจารึกพวกข้าพระองค์ ไว้ร่วมกับบรรดาผู้ปฏิญาณตนทั้งหลายด้วยเถิด
____________________
อัลมาอีดะฮ์ : 84
____________________
ไม่มีเหตุผลใดๆ ที่เราจะไม่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และสัจธรรมที่มายังเรา และเรานั้น ปรารถนาอย่างแรงกล้า ที่พระเจ้าของเราจะให้เราเข้าร่วมอยู่กับบรรดาคนดีทั้งหลาย
____________________
อัลมาอีดะฮ์ : 85
____________________
จากนั้นพระองค์จึงกล่าว และแน่นอน พระองค์นั้น จะตอบแทนเขา ซึ่งความดีทั้งหลาย ด้วยสวนสวรรค์ที่มีแม่น้ำหลากหลายสาย ภายใต้สวนเหล่านั้น และจะอยู่ในนั้นตลอดกาล เป็นการตอบแทน แก่บรรดาผู้ประกอบกรรมดี
____________________
อัลมาอีดะฮ์ : 87
____________________
จากนั้น อัลลอฮทรงกล่าว แก่บรรดาผู้ศรัทธา ว่า พวกเจ้า จงอย่าห้ามตัวเจ้าเอง จากสิ่งที่อัลลอฮทรงอนุมัติให้ (( เช่น ในกลุ่มของกษัตริย์อันนาญาชีย์ ที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ ซึ่งเป็นคริสเตียนนั้น มีนักบวช ซึ่งพวกเขา จะห้ามการแต่งงานกับสตรีเพศ ห้ามรับประทานอาหารบางอย่าง และข้อห้ามอื่นๆ ที่ถ้าเป็นคนธรรมดานั้น กระทำได้
เมื่อพวกเขาเข้าเป็นผู้ศรัทธาแล้ว อัลลอฮจึงกล่าว ว่าอย่าได้ห้ามจากสิ่งเหล่านั่นเลย พระองค์ทรงอนุมัติในเรื่องของผู้หญิงได้หากทำการแต่งงาน อนุมัติให้กินอาหารดีๆได้ เป็นต้น ))
และจงอย่าละเมิด (คำสั่งของพระองค์) แท้จริง พระองค์ไม่ทรงชอบ บรรดาผู้ละเมิด
____________________
อัลมาอีดะฮ์ : 89
____________________
จากนั้น อัลลอฮได้ทรงกล่าวถึง ผู้ที่ทำการสาบาน ว่าใครผิดคำสาบาน จะต้องไถ่โทษด้วยการ ให้อาหารแก่ผู้ขัดสนยากจน 10 คน (ซึ่งจะต้องเป็นอาหาร ระดับ ที่เขากินเป็นประจำปกติ เช่น ข้าวสาร หรืออื่นๆ เป็นต้น) หรือไม่ ก็ให้เครื่องนุ่งห่ม แก่พวกเขา หรือไถ่ทาสคนหนึ่งให้เป็นอิสระ
แต่ถ้าผู้ใดไม่สามารถทำได้ (ย้ำว่า ไม่มีจริงๆนะ ไม่ใช่ว่า ทิ้ง 3 ตัวเลือกแรกแล้วมาทำสิ่งนี้เลย .. ผิด... ) ก็จงถือศีลอดเป็นเวลา 3 วัน ... ดังนั้น จงรักษาสาบานของพวกเจ้าเถิด
____________________
อัลมาอีดะฮ์ : 90
____________________
อัลลอฮ ยังทรงกล่าวถึง ว่าแท้จริง สุราเมรัย การพนัน แท่นหินสำหรับเชือดบูชายัญ และการเสี่ยงทาย นั้น เป็นสิ่งโสมม ซึ่งเป็นการกระทำของชัยฏอน ดังนั้น พวกเจ้า จงห่างไกลจากพวกมันเสีย เพื่อที่ว่าพวกเจ้า จะได้รับความสำเร็จ
(( อายัตนี้ คืออายัต นาซิค หรือ อายัตที่มายกเลิกอายัตก่อนหน้า ..
กล่าวคือ .. ถ้าใครจำกันได้ ในญุซ 5 อัลลอฮทรงกล่าว ว่า .
"โอ้ บรรดา ผู้ศรัทธา .. พวกเจ้าจงอย่า เข้าใกล้ (ทำการ) ละหมาด หากพวกเจ้า ยังคงมึนเมา .." ซึ่งแปลว่า ตอนนั้น สามารถดื่มเหล้าได้ .
กระทั่ง อายัตนี้ ถูกประทานลงมา .. จึงเป็นการเปลี่ยนสถานะ เหล้า จากที่ดื่มได้ เป็น ฮารอม เพราะเป็นการงานของชัยฏอน .. สถานะเดิม จึงถูกแทนที่ .. อายัตเดิมในญุซ 5 จึงถูกยกเลิก (หรือเรียกว่า มันซูค) ชารีอัตนั้นๆไป .. จนถึงปัจจุบัน และจะตราบจนวันกียามัต ))
____________________
อัลมาอีดะฮ์ : 91
____________________
เพราะว่าแท้จริง สุราและการพนันนั้น คือสิ่งที่ชัยฏอนมันวางไว้เป็นกับดัก ให้พวกเจ้าเป็นศัตรูกัน และออกห่าง จากการรำลึกถึงอัลลอฮ นั่นเอง
____________________
อัลมาอีดะฮ์ : 94-96
____________________
จากนั้น อัลลอฮได้ กล่าวถึง ว่าพระองค์ทรงทดสอบบรรดา ผู้ศรัทธา ด้วยห้ามการล่าสัตว์ (ที่เป็นปศุสัตว์สำหรับบริโภค)
(( ในช่วง สนธิสัญญาฮุดัยบียะฮ์ .. กล่าวคือ คืนหนึ่ง ในปี ฮ.ศ.6 ท่านนบีมูฮัมหมัด(ซอลฯ) ได้ฝันว่าจะได้เข้าเมืองมักกะฮ์ ด้วยความสันติ .. พอถึงเช้า ท่านจึงบอกแก่บรรดาซอฮาบัต .. ทุกคนจึงพากันดีใจ เตรียมตัว อาบน้ำใส่ผ้าอิฮ์รอม ครองอิฮ์รอมกัน (นียัตทำอุมเราะฮ์กัน)
จากนั้นเดินทางไปมักกะฮ์ แต่ก่อนถึงเพียงไม่กี่กิโลฯ ณ ตำบล ฮุดัยบียะฮ์ พวกกุฟฟารมักกะฮ์ที่รู้ข่าวการเคลื่อนไหวของบรรดามุสลิม ก็พากันมาดักรอที่นี่ ไม่ยอมให้มุสลิมเข้าไป
และเป็นที่มาของการเจรจาต่อรอง ว่ามุสลิม ไม่ได้จะมาสู้รบ แค่จะเข้าเมืองไปฏอวาฟ แต่พวกกุฟฟารก็ไม่ยอม บอกให้ค่อยมาใหม่ในปีหน้า
เจรจากันไปมา เกิดเป็นสนธิสัญญาฮุดัยบียะฮ์ขึ้น และมุสลิม ต้องกลับไปก่อนในปีนี้ (เดินทางกันมาประมาณ 400 กิโลฯ เดินทางกลับอีกประมาณ 400 กิโลฯ โดยไม่มีรถยนต์อะไรทีสมัยนั้น อืม...นะ)
และตามบทบัญญัติของอัลลอฮนั้น ห้ามผู้ครองอิฮ์รอม ล่าสัตว์ ในขณะครองอิฮ์รอม นี่จึงเป็นอีกหนึ่ง บททดสอบของผู้ศรัทธาในขณะนั้น นั่นเอง ))
แต่อนุญาตให้ล่าสัตว์ทะเลได้
____________________
อัลมาอีดะฮ์ : 97
____________________
จากนั้น พระองค์ ทรงกล่าวถึง กะอ์บะฮ์ ซึ่งเป็นบ้านที่ต้องห้าม และดำรงอยู่สำหรับมนุษย์ กล่าวถึงเดือนต้องห้าม (อธิบายแล้ว ในญุซ 6) กล่าวถึงสัตว์พลี (กุรบ่าน) และสัตว์ที่ถูกทำเครื่องหมายว่าจะนำไปพลี ด้วย ... นั้นเพื่อทำให้พวกเจ้ารู้ว่าอัลลอฮนั้นทรงรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ในบรรดาชั้นฟ้า และแผ่นดิน
____________________
อัลมาอีดะฮ์ : 98
____________________
และจงรู้ไว้ แท้จริง อัลลอฮนั้น เป็นผู้ทรงเด็ดขาด ในการลงโทษ (ผู้ฝ่าฝืน) .... แต่ขณะเดียวกัน พระองค์ ก็เป็นผู้ทรงเอ็นดูเมตตา (แก่ผู้ศรัทธา)
____________________
อัลมาอีดะฮ์ : 100
____________________
และพระองค์ยังกล่าวอีกว่า แท้จริง สิ่งดี และสิ่งเลว นั้น ย่อมมีค่าไม่เท่ากัน และแม้ว่าสิ่งเลว จะมีมากมายให้พวกเขาพึงพอใจก็ตาม (เช่น มะอ์ศียัต ที่เรากระทำทุกวัน มันรู้สึกดีที่ได้ทำ แต่แน่นอน บาปที่ตามมาก็มากมายด้วย) อัลลอฮทรงเน้น ว่า จงยำเกรงต่ออัลลอฮเถิด "ผู้มีสติปัญญา"ทั้งหลาย
____________________
อัลมาอีดะฮ์ : 103
____________________
จากนั้น พระองค์ทรงกล่าว ว่าพวกกุฟฟาร ปฏิเสธศรัทธา อุปโลกน์ ความเท็จต่ออัลลอฮ ซึ่งพวกเขานั้นมี บาฮีเราะฮ์ ซาอีบะฮ์ วาศีละฮ์ และฮาม**
(( ย้อนไปในสมัยยุคญาฮีลียะฮ์ และสมัยนบีนั้น พวกกาฟิร จะทำการเชือดสัตว์พลี บูชายัญแก่รูปปั้น และเจว็ด เทวรูปของพวกเขา ไม่ก็สร้างความเชื่อ คล้ายๆเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์กัน โดย
1. บาฮีเราะฮ์ คือ อูฐตัวเมีย ที่ถูกผ่าหูให้กว้าง มันมีลูก 5 ตัว และลูกตัวที่ 5 เป็นตัวเมีย (รายงานจาก อิบนุอับบาส (ร.ฎ.)) .. ซึ่งอูฐนี้ จะไม่ถูกทำอันตรายใดๆแก่มัน จะไม่ถูกใช้งาน มันจะวิ่งจะเดินจะทำอะไรได้หมด ห้ามใครไปห้ามมันเดินไปไหน หรือดื่มน้ำที่ไหน (ภาษาบ้านเราคือ เค้าถือกัน)
2. ซาอีบะฮ์ คือ (รายงานจาก อิบนุ อัลเญาซีย์ (ร.ฮ.) นักวิชาการประวัติศาสตร์อิสลาม) คือ ปศุสัตว์ ที่ปล่อยเป็นอิสระ เนื่องจาก ได้บนบานแก่รูปปั้น เจว็ด ไว้ ห้ามขี่หลังมัน และห้ามรีดนมมัน
และคนแรกที่กระทำการเช่นนี้คือ อัมรุน อิบนุ ลุฮัยย์ (บางรายงาน อิบนุ อามิร) ที่เขาเป็นคนแรกที่ปล่อยสัตว์ เพื่อบนบานเทวรูป และสร้างเทวรูป ทำให้ศาสนาของอิบรอฮีม (ศาสนาของอัลลอฮนั้น) หลงทาง .. ตามรายงานของอบูฮุรัยเราะฮ์ (ร.ฎ.)
3. วาศีละฮ์ คือ แม่แพะ ที่ถ้ามันออกลูกเป็นตัวเมีย จะเป็นของเจ้าของมัน และถ้ามันออกลูกเป็นตัวผู้ ตัวผู้นั้นจะเชือดถวายรูปปั้น เจว็ดพวกเขา และถ้าออกลูกเป็นทั้งตัวผู้ตัวเมีย ก็ไม่ต้องเชือดตัวผู้นั้น
4. ฮาม คือ พ่อพันธุ์อูฐ ที่ผสมพันธุ์ จนแม่อูฐ มีลูก ถึง 10 ตัว มันจะไม่ถูกขี่ ไม่ถูกบรรทุกใดๆบนหลังมัน
พวกเขาทำเหล่านี้ โดยบอกว่า ทำเพื่ออัลลอฮ ซึ่งที่จริงนั้น เป็นการโกหก นั่นเอง ))
____________________
อัลมาอีดะฮ์ : 104
____________________
จากนั้น พระองค์ จะทรงกล่าว ถึงผู้ที่ชอบทำตามบรรพบุรุษตัวเอง โดยไม่สนว่ามันหลงทางหรือไม่ ว่า คนพวกนี้ อัลลอฮทรงให้รอซูลเชิญชวนพวกเขา กลับมาสู่หนทางของอัลลอฮ .. แต่พวกเขาจะปฏิเสธ และยังคงทำตาม ปู่ ย่า ตา ยาย บรรพบุรุษของพวกเขา ... อัลลอฮจึงทรงตรัสถาม เจ้าทำไป ทั้งๆที่บรรพบุรุษของพวกเจ้านั้น ก็ไม่รู้อะไรเลยงั้นหรือ (หลงทาง)
____________________
อัลมาอีดะฮ์ : 106-107
____________________
จากนั้น อัลลอฮทรงกล่าวถึง บทบัญญัติ ว่าด้วยเรื่องมรดก คือพินัยกรรม ว่า เมื่อมีคนตาย อยู่ระหว่างการเดินทาง ก่อนตายเขาทิ้งพินัยกรรม การสั่งเสียเอาไว้ ก็จงให้มีพยาน 2 คนที่เป็นมุสลิม หรือถ้าไม่มีมุสลิม เป็นคนอื่นก็ได้
และเมื่อมาถึงเมือง ก็จงกักตัวพวกเขาไว้ หลังละหมาด และให้พวกเขาสาบาน ว่าจะไม่โกหก
(( เหตุการณ์นี้ เกิดขึ้นช่วงอิสลามกำลังเผยแพร่ใหม่ๆ ที่มุสลิมมีน้อย และมุสลิมคนหนึ่งเสียชีวิตลง ก่อนหน้านั้น ได้สั่งเสีย บอกพินัยกรรม แก่คนที่ร่วมเดินทาง 2 คนไว้
เมื่อพวกเขามาถึงเมืองมาดีนะฮ์ พวกเขาก็ถูกกักตัว หลังละหมาดอัศริ และให้สาบานว่าจะพูดความจริง บอกเล่าคำสั่งเสียนั้นอย่างถูกต้อง
ให้เข้าใจว่า ในสมัยนั้น ทรัพย์สินคนคนหนึ่ง จะส่งต่อไปนั้น ในทางการสั่งเสียเท่านั้น เมื่อคนตายสั่งเสียอะไรยังไง ก็จะปฏิบัติตามดังนั้นทั้งหมด
อับดุรเราะฮ์มาน อิบนุ ซัยด์ (ร.ฮ.) (นักวิชาการตัฟซีร) ได้กล่าวว่า อายัตนี้เป็นอายัต มันซูค (คือ ถูกยกเลิก) กล่าวคือ หลังจากนั้น อายัตมรดกก็ถูกประทานลงมา ให้แบ่งตามสัดส่วนนั้นๆ (ตามที่เคยอธิบายในญุซ 4) ... การยกมรดก ตามคำสั่งเสียเท่านั้น จึงถูกยกเลิกไป
แต่ก็ยังคงขั้นตอนพินัยกรรมอยู่ แต่ต้องไม่เกิน 1/3 ของทรัพย์สินทั้งหมด นั่นเอง ))
____________________
อัลมาอีดะฮ์ : 109
____________________
จากนั้น พระองค์ทรงกล่าวว่า ในวันกียามัต พระองค์จะถาม บรรดารอซูล (ซึ่งมีหน้าที่ในการเผยแพร่ความศรัทธา และหลักปฏิบัติต่างๆ) นั้น ว่า การตอบสนองเป็นอย่างไรบ้าง (มีคนตามการศรัทธา ปฏิบัติตามไหม)
บรรดารอซูลจะตอบว่า พวกเราหาได้มีความรู้ไม่ แท้จริง พระองค์ ทรงรู้ดีถึงสิ่งเร้นลับทั้งหลาย
(( เรียกว่า เป็นมารยาทการตอบของท่านรอซูล ที่ท่านไม่ได้รู้คำตอบทั้งหมด แต่พวกท่านรู้ อัลลอฮนั้นทรงรอบรู้ว่าคำตอบนั้นเป็นอย่างไรอยู่แล้ว ))
____________________
อัลมาอีดะฮ์ : 110
____________________
จากนั้นอัลลอฮ ก็ทรงกล่าวถึง ท่านนบีอีซา (อ.ฮ.) ที่พระองค์ทรงตรัสแก่ท่าน ว่าจงรำลึกถึงความโปรดปรานของพระองค์ที่ได้มอบแก่ท่าน ซึ่ง จะเป็นช่วงสุดท้ายของซูเราะฮ์ อัลมาอีดะฮ์นี้ ที่เกริ่นไปในค่ำคืนเมื่อวานว่า เป็นที่มาของชื่อ อัลมาอีดะฮ์ หรือ สำรับอาหารนั่นเอง
ในอายัตที่ 110 นั้น .. อัลลอฮ ทรงตรัสกับท่านนบีอีซา (อ.ฮ.) .. ให้ท่านรำลึกถึงความโปรดปรานของพระองค์ที่ประทานให้แก่ท่านและแก่มารดาท่าน ..ซึ่งก็คือ ท่านหญิงมัรยัม (ร.ฮ.) ..
ทรงกล่าวว่า ท่านนบีอีซา (อ.ฮ.) นั้น เป็นวิญญาณอันบริสุทธิ์ ..ท่านพูดได้ แม้ยังเป็นเพียงเด็กน้อยในเปล ( ซึ่งจะเบ่าในญุซ 16 ซูเราะฮ์ มัรยัม อินชาอัลลอฮ )... และในวัยผู้ใหญ่ ก็เช่นกัน .
ท่านได้รับการสอน คัมภีร์เตารอต ( โตราห์ - พันธะสัญญาเก่า ) และอินญีล ( ไบเบิ้ล - พันธะสัญญาใหม่ ) จากพระองค์ ..
ท่านสามารถปั้นนก และมันก็มีชีวิตขึ้นมา
ด้วยการอนุมัติของพระองค์ .
ท่านสามารถทำให้คนตาบอด แต่กำเนิด .. หายจากตาบอดได้ .. ด้วยการอนุมัติของพระองค์ .
ท่านสามารถทำให้คนเป็นโรคผิวหนัง โรคเรื้อน หายขาดได้ .. ด้วยการอนุมัติของพระองค์ .
ท่านสามารถฟื้นคืนชีพ คนตายได้ .. ด้วยการอนุมัติของพระองค์ ..
และอัลลอฮยังทรงปกป้องท่าน จากบรรดาบนีอิสรออีลบางคน ที่พยายามจะสังหารท่าน .. ( ซึ่งเราก็จะรู้ว่า คือกลุ่มคนที่คิดจะสังหารท่าน ตรึงกางเขนท่าน แต่ในคืนนั้น อัลลอฮ ทรงยกท่านขึ้นไปยังฟากฟ้าก่อน ... สุดท้าย พวกมัน ก็จับตัวปลอมตรึงไม้กางเขน ซึ่งก็คือหัวหน้าพวกมันเอง ที่อัลลอฮได้ทำให้ใบหน้า เหมือนท่านนบี อีซา (อ.ฮ.) ซึ่ง เหล่านี้ เป็นความโปรดปราน ที่พระองค์มอบแก่ท่านนบีอีซา (อ.ฮ.) ในดำรัสอายัตที่ 110 )
____________________
อัลมาอีดะฮ์ : 111
____________________
จากนั้น .. อัลลอฮทรงตรัสถึง บรรดา อัลฮะวารียีน (( ในอัลกุรอ่าน พระองค์ ทรงเรียกบุคคลที่ศรัทธา และตามท่านนบีอีซา(อ.ฮ.) ว่า อัลฮาวารียีน หรือ อัลฮาวารียูน - (ยีน) (ยูน) สระจะเปลี่ยนตามหลักไวยกรณ์อาหรับ ในประโยคนั้นๆ - ))
อัลลอฮทรงกล่าวว่า และจงรำลึกถึง ในตอนที่ข้าได้ดลใจแก่พวกฮาวารียีน ว่าให้ศรัทธาต่อข้า และรอซูลของข้า พวกเขาก็จะกล่าวว่า เราได้ศรัทธาแล้ว .. และได้โปรดทรงเป็นพยาน ว่าพวกข้าพระองค์นั้น ได้สวามิภักดิ์ต่อพระองค์แล้ว
ที่พระองค์ทรงดลใจ .. ให้พวกเขาได้รับทางนำ .
____________________
อัลมาอีดะฮ์ : 112
____________________
และอัลลอฮ ก็ทรงเล่าเหตุการณ์ในวันนั้น .. วันที่บรรดา อัลฮะวารียีน ขอท่านนบี อีซา (อ.ฮ.) ให้ท่าน ขอประทานสำรับอาหาร จากอัลลอฮลงมา ..
( เป็นช่วงแห้งแล้ง ที่ไม่มีอะไรกินเลย .. บรรดาบนีอิสรออีล บรรดา อัลฮาวารียีน จึงไปร้องต่อท่านนบีอีซา (อ.ฮ.) ว่าพวกตนลำบาก ไม่มีอะไรกิน .. ว่า ขอให้ท่าน ช่วยขอต่ออัลลอฮ ให้ประทานอาหารมาให้หน่อย )
____________________
อัลมาอีดะฮ์ : 114-115
____________________
จากนั้น ก็จะเป็นบทสนทนา ระหว่างท่าน กับอัลลอฮ .. ในอายัตที่ 114 - 115
____________
อัลลอฮ ทรงเล่าว่า .
ท่านนบีอีซา (อ.ฮ.) กล่าวว่า : "ข้าแต่อัลลอฮ .. พระเจ้าแห่งพวกข้าพระองค์ .. ได้โปรด ทรงประทานสำรับอาหาร จากฟากฟ้า .. แก่พวกข้าพระองค์ด้วยเถิด .. ( วันนี้ ) จะได้เป็นวันรื่นเริง แก่บรรดาพวกข้าพระองค์ .. ทั้งแก่คนแรก และคนสุดท้ายของพวกข้าพระองค์ ( อาหารนั้นมากมาย เพียงพอแก่ทุกคน ) และเพื่อสิ่งนี้ .. จะเป็นสัญญาณหนึ่งจากพระองค์ ..
และได้โปรดประทาน ริสกี (ปัจจัยยังชีพ) แก่พวกข้าพระองค์ .. แท้จริง .. พระองค์ (เท่านั้น) คือผู้ทรงประทานริสกี ที่ดีที่สุด .. "
____________
อัลลอฮจึงทรงตรัสตอบรับ ว่า : "แท้จริง .. ข้าจะให้มัน ลงมาแก่พวกเจ้า .. แต่หากว่า ผู้ใด .. ยังปฏิเสธ (ศรัทธา) อีก หลังจากนั้น .. ข้าจะลงโทษคนผู้นั้น .. ด้วยการลงโทษ ที่ไม่เคยมีใครได้รับมันมาก่อน !"
____________
[[ ตรงนี้ มีหลายๆอารมณ์เลยแหละ .. ความยิ่งใหญ่ของอัลลอฮ .. การที่ท่านสนทนาโดยตรงกับอัลลอฮ .. และในขณะที่อัลลอฮ ทรงประทานแล้ว .. พวกนี้ จะศรัทธามั้ย .. ถ้าไม่ เตรียมรับการลงโทษเลย .. ซึ่งเป็นการลงโทษที่ไม่เคยมีมาก่อน .. (( ตรงนี้นักตัฟซีร หมายความว่า .. พวกบนีอิสรออีลเหล่านี้ ที่ไม่ศรัทธา จะถูกสาปแช่ง เป็นหมู .. บางสายรายงานบอกเป็นลิง .. บางสายรายงานบอก เป็นทั้งหมู ทั้งลิง .. และจะตายใน 3 วัน .. ))
เราเองฟังไป ก็สะท้านไปนะ .. คำประกาศิตจากพระเจ้า .. ชัดเจนซะขนาดนั้น .. แต่เชื่อมั้ย .. สุดท้าย .. หลังจากที่สำรับอาหารลงมา .. ตักเท่าไหร่ก้ไม่หมด .. กินได้ตั้งแต่คนแรกถึงคนสุดท้าย อิ่มหนำสำราญไป .. บนีอิสรออีลบางคน ก็ยังคงปฏิเสธศรัทธาอยู่ดี .. ซึ่ง เหตุการณ์ ก็จะเป็นไปตามนั้น ถูกสาปแช่ง แล้วก็ตายใน 3 วันถัดมา .. วัลลอฮุอะลัม
เหมือนเป็นภาพสะท้อนสังคมเราเลยนะ .. รู้ว่าผิด .. แต่ก็ทำ .. สัญญานรก สัญญาลงโทษ .. สุดท้ายก้ไม่สนใจ .. ทำตามใจตัวเอง .. ใครเตือน ก้ไม่ฟัง .. เป็นกันทุกยุคทุกสมัยจริงๆ ..]]
____________________
อัลมาอีดะฮ์ : 116
____________________
จากนั้น อัลลอฮจะทรงตรัสถึงการสนทนาของพระองค์กับท่านนบีอีซา (อ.ฮ.) ซึ่งตรงนี้นักตัฟซีรส่วนใหญ่กล่าวว่า มันจะเกิดขึ้นในวันกียามัต .. เพราะเหตุการณ์ตามอายัตที่ 109 .. ที่กล่าวถึง การรวมตัวของบรรดานบี ในวันกียามัต .
_______________
ในอายัตที่ 116 .. ในวันกียามัต อัลลอฮจะทรงตรัสถามท่านนบีอีซา (อ.ฮ.) ว่า .. "อีซา บุตร มัรยัมเอ๋ย .. เจ้าบอกแก่ผู้คนหรือ .. ว่า "จงเคารพสักการะฉัน กับมารดาของฉัน ทั้ง 2 เป็นสิ่งเคารพภักดีนอกจากอัลลอฮ ??" อย่างนั้นหรือ? "
( คือ .. ท่านนบี เป็นคนบอกให้ผู้คน นับถือตัวท่าน กับมารดาท่าน เป็นพระเจ้า เหมือนอัลลอฮ อย่างนั้นหรือ ?? เหมือนที่พวกคริสเตียน ยกท่านเป็นพระเจ้า เป็นเจซัซไครสต์ เป็นบุตรพระเจ้า มีอำนาจเทียมพระเจ้า เป็นร่างจำแลง หรืออวตาร อีกภาคของพระเจ้า บลาๆๆๆๆๆ )
______________
ท่านนบีจึงตอบว่า .. "มหาบริสุทธิ์พระองค์ท่าน !! ข้าพระองค์มิเคยเลย ที่จะพูดสิ่งที่มิใช่สิทธิของข้าพระองค์ !! หากข้าพระองค์กล่าวเช่นนั้นจริง พระองค์ทรงรู้ดี ถึงสิ่งที่อยู่ในใจของข้าพระองค์ .."
( ซึ่งท่านนบี เมื่อได้ยินพระองค์ตรัสถามเช่นนั้น ท่านรีบปฏิเสธทันที .. สังเกตคำปฏิเสธของท่าน .. "ซุบฮาาาานัก" มหาบริสุทธิ์พระองค์ !! .. คือเป็นการปฏิเสธความทัดเทียม .. อัลลอฮ คือผู้ทรงเป็นพระเจ้าหนึ่งเดียว .. ท่านจะไม่พูดสิ่งที่ไม่ใช่สิทธิของท่าน ท่านเป็นแค่มนุษย์ .. ท่าน ไม่เคยขอให้คนพวกนั้น ทำเช่นนี้ ..
ถ้าฟังตรงนี้ จะเข้าใจอารมณ์ท่านนบีอีซา (อ.ฮ.) .. คือ ท่านไม่ได้ทำ และท่านรู้ว่าอัลลอฮ ก็รู้ .. แต่การตรัสถาม ก็เหมือนการตำหนิ จากพระเจ้า .. เป็นเราก็คงเข่าทรุดแหละ .. มนุษย์เอง พอทำอะไรผิด เวลาอยู่ต่อหน้าคนใหญ่คนโต ก็พูดกุกๆกักๆ จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ซีดเซียว .. นั้นแค่กับมนุษย์ด้วยกันเอง ที่อุปโลกน์ยศฐา ฐานะกันเอง .. แล้วนี้กับพระเจ้า .. แต่ท่านนบีอีซา (อ.ฮ.) ไม่ถึงกับแสดงอาการขนาดนั้น .. แต่ท่านก็ร้อนใจ ที่อัลลอฮทรงถาม .. ท่านจึงรีบตอบไปเลย ..
ซึ่งที่อัลลอฮ ทรงถามนั้น .. พระองค์ทรงรู้ดีอยู่แล้ว ว่าท่านนบี ไม่ได้ทำ .. มันมีคน สร้างเรื่องราว แก้ไขคัมภีร์ เผยแพร่ความเชื่อให้หลงทาง .. อัลลอฮทรงรู้อยู่แล้ว .. ดังนั้น .. นี่ จึง เป็นคำถาม ในเชิงการเน้นย้ำว่า .. ท่านนบี บริสุทธิ์จากคำกล่าวอ้างพวกนั้น ..
เหมือนเรารู้จักเพื่อนคนนึงที่เรียนเก่ง .. แล้วเราก็ถาม .. ทำไมคนคนนี้ต้องลอกข้อสอบด้วย ! ซึ่งในใจเรา มั่นใจอยู่แล้ว ว่าเขาไม่ลอกหรอก .. ไอ้ที่ถูก ฝีมือล้วนๆ อะไรก็ว่าไป ..
และพระองค์ก็ทรงรอบรู้ทุกสิ่ง ทั้งในที่ลับ และที่แจ้ง .. )
____________________
อัลมาอีดะฮ์ : 117-118
____________________
อายัตหลังจากนั้น ท่านนบีอีซา (อ.ฮ.) ก็ได้กล่าวยืนยันตน .. ว่าที่ท่านกล่าว คือการให้ผู้คนนั้น .. เคารพภักดีต่อพระองค์แต่เพียงผู้เดียว .. ผู้ทรงเป็นพระเจ้าของท่าน และของเราทุกคน ..
และท่านยังกล่าวต่ออีกว่า .. หากอัลลอฮทรงลงโทษพวกเขาเหล่านั้น (ที่ปฏิเสธศรัทธา) แน่นอน .. พวกเขาเหล่านั้น เป็นเพียงบ่าวของพระองค์ .
และหากอัลลอฮ ทรงให้อภัยโทษแก่พวกเขาเหล่านั้น .. แท้จริง พระองค์ คือผู้ทรงเดชานุภาพ ผู้ทรงปรีชาญาณ .
( ตรงนี้คือ การยืนยันสถานะพระเจ้าของอัลลอฮ .. คือพระองค์ เป็นเจ้าของร่างนี้ .. บรรดาพวกปฏิเสธศรัทธา ถ้าพระองค์ จะให้กลับตัวกลับใจ ก็ได้ .. แต่ถ้าไม่ .. พระองค์ จะลงโทษยังไง ก็ได้ .. มันสิทธิของพระองค์ ทุกประการ .. เพราะพระองค์ทรงยุติธรรม .. ไม่มีใครยุติธรรมไปมากกว่าพระองค์ .. คำว่า พระองค์ทรงประสงค์ .. ก็เพราะความประสงค์ของอัลลอฮ ทรงสมเหตุสมผล และยุติธรรมเสมอ นั่นเอง .. )
(( นี่คือ บทสนทนาที่จะเกิดขึ้น ในวันกียามัต .. สิ่งนี้ จะเป็นการตอกย้ำ ผู้ที่คิดว่า เยซูนั้นตายไปแล้ว .. นับถือท่านเป็นพระเจ้าบ้างล่ะ ถูกตรึงไม้กางเขนบ้างล่ะ
แต่พอ ถึงวันนั้น .. พวกเขา จะได้ยินจากปาก เยซู ที่เขากราบไหว้เองเลยว่า .. ทุกอย่าง ไม่เป็นความจริง !!
และ บทสนทนานี้ แสดงให้เห็นว่า นี่คือ "พระเจ้า" กับ "บ่าว" ที่ถูกสร้าง .. ไม่ใช่ พ่อ กับ ลูก ตามที่คริสเตียนกล่าวอ้างแต่อย่างใด ))
____________________
อัลมาอีดะฮ์ : 119-120
____________________
อัลลอฮยังทรงกล่าวถึงวันกียามัต ว่ามันเป็นจริง คือวันแห่งความจริง และอำนาจในบรรดาชั้นฟ้า และทุกสรรพสิ่งในแผ่นดินนี้ ล้วนเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮ และพระองค์ ทรงเดชานุภาพ เหนือทุกสิ่งทุกอย่าง
จบซูเราะฮ์อัลมาอีดะฮ์ เข้าสู่ซูเราะฮ์ที่ 6 อันอันอาม (ปศุสัตว์)
____________________
อัลอันอาม : 1
____________________
มวลการสรรเสริญนั้น เป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮ ผู้ทรงสร้างบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดิน ให้มีขึ้นซึ่งความมืด และแสงสว่าง แต่พวกผู้ปฏิเสธศรัทธานั้น ก็ยังสร้างสิ่งอื่น(ตั้งภาคี) ให้เทียบเท่ากับอัลลอฮ
____________________
อัลอันอาม : 2
____________________
พระองค์ทรงกล่าว ว่าพระองค์ ทรงบังเกิดเจ้า มาจากดิน และกำหนดว่าจะตายเมื่อไหร่ และกำหนดเวลาวันฟื้นคืนชีพ (ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าเมื่อไหร่)
____________________
อัลอันอาม : 6
____________________
อัลลอฮทรงเตือน ว่ากี่ประชาชาติแล้ว ที่พระองค์ทรงทำลายก่อนหน้าเจ้า (ก่อนหน้าเราประชาชาติท่านนบีมูฮัมหมัด(ซอลฯ)) ซึ่งพวกนั้น มีทั้งอำนาจและความแข็งแกร่ง (แต่ก็ถูกพระองค์ทำลายสิ้น เพราะการฝ่าฝืน)
และพระองค์ ก็ทรงทดแทนประชาชาติที่ถูกทำลายนั้น ด้วยประชาชาติอื่น หลังจากนั้น
____________________
อัลอันอาม : 7
____________________
พระองค์ยังกล่าวอีก ว่าหากพระองค์ทรงประทานคัมภีร์นี้มาเป็นกระดาษที่พวกเขาสัมผัสได้ พวกเขา(ผู้ปฏิเสธ) ก็จะกล่าวว่า นี่เป็นเพียง มายากล เท่านั้น
____________________
อัลอันอาม : 9
____________________
พระองค์ยังทรงกล่าวถึงมลาอีกัต ที่พระองค์ทรงบัญชานั้น (หากลงมาปฏิบัติตามบัญชาพระองค์) พวกเจ้าก็จะเห็น เขา เป็นผู้ชาย (เหมือนมนุษย์ทั่วไป มิเช่นนั้น พวกเขาจะต้องตกใจแน่)
____________________
อัลอันอาม : 10
____________________
และพระองค์ก็ทรงกล่าวแก่ท่านนบีมูฮัมหมัด(ซอลฯ) บรรดารอซูลก่อนหน้าเจ้านั้น ล้วนถูกเย้ยหยัน กัน ดังนั้น อัลลอฮทรงห้อมล้อมพวกเขาเหล่านั้น ด้วยการเย้ยหยันนั้น (ทรงลงโทษด้วยบทลงโทษที่สาสม)
____________________
อัลอันอาม : 12
____________________
สิ่งที่อยู่ในบรรดาชั้นฟ้า และแผ่นดินนั้น เป็นของใคร .. แน่นอน เป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮ .. พระองค์ทรงกำหนดความเอ็นดูเมตตาไว้ บนตัวของพระองค์ .. พวกเจ้าจะถูกรวบรวมกัน ในวันกียามัต .. อย่างไม่มีข้อสงสัยใดๆ
____________________
อัลอันอาม : 14
____________________
พระองค์ทรงให้ท่านนบีกล่าว ว่า จะให้ฉันยึดถือผู้ปกครองอื่นนอกจากอัลลอฮกระนั้นหรือ? ทั้งๆที่พระองค์ เป็นผู้ทรงประดิษฐ์ชั้นฟ้า และแผ่นดินนี้ขึ้นมา พระองค์ทรงมอบอาหาร แต่พระองค์นั้นไม่ต้องการอาหารใดๆ .. แท้จริง ฉันคือผู้ที่ถูกใช้คนแรก ให้เป็นผู้สวามิภักดิ์ และพวกเจ้า จงอย่าอยู่ในหมู่ผู้ตั้งภาคีเป็นอันขาด... แท้จริง ฉันกลัวการลงโทษอันยิ่งใหญ่ หากฉันฝ่าฝืนพระเจ้าของฉัน
____________________
อัลอันอาม : 17
____________________
พระองค์ยังกล่าว ว่าหากพระองค์ทรงให้ใครเดือดร้อน ก็จะไม่มีใครปลดเปลื้องภาระนั้นลงได้ และหากพระองค์จะให้ใครประสบกับความดี แน่นอน อัลลอฮนั้นทรงเดชานุภาพเหนือทุกสิ่งยิ่ง
____________________
อัลอันอาม : 19
____________________
พระองค์ยังกล่าวกับบรรดาผู้ตั้งภาคีทั้งหลายในวันกียามัต ว่าไหนล่ะ บรรดาภาคีที่พวกเจ้าแอบอ้างกัน?
____________________
อัลอันอาม : 27
____________________
พวกผู้ปฏิเสธนั้น เมื่อพวกเขาเห็นนรกอยู่ตรงหน้า เขาก็จะกล่าวว่า โอ้ เราศรัทธาแล้ว โปรดนำเรากลับไป เราจะกลับไปทำความดี ปฏิบัติตามศรัทธา... แต่สายเสียแล้ว
____________________
อัลอันอาม : 31
____________________
ทั้งพระองค์ยังกล่าวอีก ว่าพวกปฏิเสธศรัทธานี้ เมื่ออยู่ต่อหน้าอัลลอฮในวันกียามัต พวกเขาจะเสียใจ เสียใจอย่างมากมาย และบนหลังของเขาจะแบกบรรทุกซึ่งบาปอันมหาศาล
____________________
อัลอันอาม : 32
____________________
ชีวิตบนโลกนี้เป็นเพียง ภาพมายา และการหลอกลวง
โลกหน้าต่างหากที่จีรัง มั่นคง พวกเจ้าไม่ใช้ปัญญาดอกหรือ?
____________________
อัลอันอาม : 38
____________________
อัลลอฮยังทรงกล่าวต่อไป ว่า ไม่มีสัตว์ตัวใด หรือแม้แต่นกตัวใด ที่ยืนด้วยสองปีกของมัน นอกจากพวกนี้ ก็เป็นประชาชาติเหมือนเจ้า พระองค์ไม่ทรงบกพร่องใดๆในคัมภีร์ .. และยังพระองค์นั้น ที่พวกเขาจะถูกนำไปชุมนุมกัน
____________________
อัลอันอาม : 39
____________________
พวกที่ปฏิเสธอายัตของอัลลอฮนั้น พระองค์ให้พวกนั้นหูหนวก(ไม่รับฟังสัจธรรม) และเป็นใบ้(ไม่พูดสัจธรรมใดๆ) อยู่ในความมืด และหลงทาง
____________________
อัลอันอาม : 48
____________________
อัลลอฮทรงกล่าว ว่าพระองค์ส่งรอซูลมานั้น เพื่อแจ้งข่าวดี และข้อตักเตือน .. ดังนั้น ใครที่ศรัทธา และปรับปรุงแก้ไขแล้ว เขาก็จะไม่ประสบกับความกลัวใดๆ และพวกเขา ก็จะไม่เสียใจ
____________________
อัลอันอาม : 50
____________________
คนตาบอด (ไร้ทางนำ) กับคนตาดี (ได้รับทางนำ) นั้น เท่าเทียมกันอย่างงั้นหรือ พวกเจ้าไม่คิดกันรึไง?
____________________
อัลอันอาม : 51
____________________
พระองค์ยังทรงให้ท่านนบี ตักเตือนผู้คนด้วยอัลกุรอ่าน เพราะในวันแห่งการชุมนุม พิพากษานั้น จะไม่ใครมาช่วยเหลือเขาได้
____________________
อัลอันอาม : 60
____________________
พระองค์ยังกล่าวอีก ว่าพระองค์ทรงให้พวกเจ้าตายในเวลากลางคืน และคืนชีพในเวลากลางวัน และทรงรู้ ว่าพวกเจ้าทำอะไร ในเวลานั้น ... เพื่อใช้อายุขัยที่พระองค์กำหนดนั้น ให้หมดไป... และกลับไปหาพระองค์.. และพระองค์ จะบอกทุกอย่างถึงสิ่งที่พวกเจ้า เคยกระทำไป
____________________
อัลอันอาม : 61
____________________
พระองค์ทรงมีชัยชนะเหนือทุกสิ่ง ทรงส่งผู้บันทึกความดี (มลาอีกัตรอกิบ) และผู้บันทึกความชั่ว (มลาอีกัตอาติ้ด) มายังพวกเจ้า ... และเมื่อถึงเวลาตายก็จะมีผู้มารับเจ้าไป (มาลีกิลเมาวต์ - มลาอีกัตอิซรออีล และพวก) และพวกเขาจะไม่บกพร่องต่อหน้าที่นั้น
____________________
อัลอันอาม : 62
____________________
พวกเขาจะนำเจ้ากลับไปยังอัลลอฮ นายที่แท้จริง และพระองค์ยังทรงกล่าว ว่าพระองค์จะเป็นผู้ทรงชี้ขาด และพระองค์ทรงรวดเร็วในหมู่ผู้ชำระทั้งหลาย
____________________
อัลอันอาม : 70
____________________
อัลลอฮยังทรงกล่าวกับท่านนบีว่า จงปล่อยเสียเถิด บรรดาผู้ที่ยึดเอาศาสนา เป็นเรื่องล้อเล่น .. สิ่งที่เพลิดเพลิน และความเป็นอยู่บนโลกนี้ หลอกลวงเขา ..
ชีวิตของคนคนหนึ่ง จะอยู่กับสิ่งที่เขาขวนขวายไว้ จะไม่มีความช่วยเหลือใดๆมายังเขา .. ถึงจะใช้ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีขอไถ่ตัว(ออกจากการลงโทษ) ก็ไร้ประโยชน์
พวกนี้ จะรับกรรมตามที่เขาก่อ ได้รับเครื่องดื่มเป็นน้ำที่ร้อนจัด (จนทำลายตับ ไต ไส้ พุง) และการลงโทษ ตามที่เขาได้ปฏิเสธศรัทธาและฝ่าฝืน
____________________
อัลอันอาม : 71
____________________
พระองค์ยังทรงกล่าวแก่ท่านนบี ให้ท่านกล่าวแก่ผู้คน ว่า จะวิงวอน ขอต่อสิ่งที่ทั้งไม่ให้ประโยชน์ และโทษใดๆกระนั้นหรือ (พวกรูปปั้น เจว็ด เทวรูป) ... ชัยฏอนทำให้พวกเขาหลงในแผ่นดินอย่าง งง งวย
____________________
อัลอันอาม : 74
____________________
จากนั้น พระองค์ทรงเล่าเรื่องท่านนบีอิบรอฮีม (อ.ฮ.) ที่ท่านกล่าวถามพ่อของท่าน ที่ชื่อ อาซัร ว่า ท่านจะยึดเอารูปปั้นพวกนี้เป็นพระเจ้ากระนั้นหรือ? ..แท้จริง ข้าเห็นว่า ท่านกับพรรคพวกของท่านนั้น อยู่ในความหลงผิด อันชัดเจน
(( ท่านนบีอิบรอฮีม (อ.ฮ.) เกิดที่เมือง อูร ดินแดนเมโสโปเตเมีย หรือ ประเทศ อิรัก ปัจจุบัน
มีบิดา ชื่อ อาซัร ซึ่งทำอาชีพ ปั้น หล่อ และแกะสลักรูปปั้น ซึ่งเมืองนั้น เต็มไปด้วยการบูชา สักการะเทวรูปมากมาย ))
____________________
อัลอันอาม : 75
____________________
อัลลอฮทรงแสดงอำนาจอันยิ่งใหญ่ให้ ท่านนบีอิบรอฮีม (อ.ฮ.)ได้เห็น เพื่อที่ท่าน จะเป็นหนึ่ง ในหมู่ผู้ที่เชื่อมั่นทั้งหลาย
____________________
อัลอันอาม : 76
____________________
วันหนึ่ง ท่านนบีเดินขึ้นไปบนเขา อัลลอฮทรงกล่าวว่า เมื่อความมืดปกคลุมเขา เขาก็เห็นดวงดาว เขาก็กล่าวว่า นี่คือพระเจ้าของฉัน.. จากนั้น ดาวก็ลับไป เขาก็กล่าวว่า เขาไม่ชอบบรรดาสิ่งที่ลับไป
____________________
อัลอันอาม : 77
____________________
จากนั้น เขาก็เห็นดวงจันทร์ เขาก็กล่าวว่า นี่คือพระเจ้า.. จากนั้น ดวงจันทร์ก็ลับไป .. เขาจึงวิงวอนว่าข้าแด่พระเจ้า หากพระองค์มิทรงแนะนำแก่ข้าแล้ว ข้าต้องหลงผิดแน่นอน
____________________
อัลอันอาม : 78
____________________
จากนั้น เมื่อเขาเห็นดวงอาทิตย์ .. เขาก็กล่าวว่า นี่ต้องเป็นพระเจ้าแน่ๆ นี้ยิ่งใหญ่ที่สุด.. แต่เมื่อดวงอาทิตย์ลับไป (อัลลอฮทรงแสดงความยิ่งใหญ่ เพื่อให้ท่านนบีอิบรอฮีม(อ.ฮ.) ตระหนักถึงพระเจ้าที่แท้จริง) เขาจึงกล่าวว่า.. แท้จริงฉันขอปลีกตัว ออกจากสิ่งที่พวกเขาตั้งภาคี (พวกเทวรูป)
____________________
อัลอันอาม : 79
____________________
และขอสวามิภักดิ์ ต่อพระองค์อัลลอฮ์ ผู้ทรงสร้างชั้นฟ้าและแผ่นดิน ในฐานะผู้ใฝ่ หาความจริง และข้าพระองค์ มิใช่หนึ่งในหมู่ผู้ตั้งภาคี
____________________
อัลอันอาม : 80
____________________
จากนั้น(ท่านก็เชิญชวนผู้คนสู่การภักดีต่ออัลลอฮ และแน่นอน) พวกเขาโต้เถียงกับท่าน แต่ท่านก็ยืนหยัดในสัจธรรมนี้
____________________
อัลอันอาม : 83
____________________
จากนั้นอัลลอฮก็ทรงเล่าแก่ท่านนบีมูฮัมหมัด(ซอลฯ) โดยกล่าวถึงท่านนบีอิบรอฮีม(อ.ฮ.)ในขณะนั้นว่า และนั่น เราได้ให้หลักฐานที่ประจักษ์แล้วแก่อิบรอฮีม โดยเขา มีฐานะเหนือกลุ่มชนของเขาหลายเท่านัก ด้วยประสงค์ของเรา
____________________
อัลอันอาม : 84
____________________
จากนั้น พระองค์ ก็ได้กล่าวว่า ดังที่พระองค์ได้ทรงเคยให้คำแนะนำแล้ว แก่ (บรรดานบี)
นบีอิสฮาก (อ.ฮ.)
นบียะอ์กู๊บ (อ.ฮ.)
นบีนูฮ (อ.ฮ.) ในก่อนหน้านั้น
แก่ลูกหลานของเขา (นบีอิบรอฮีม(อ.ฮ.)) คือ
นบีดาวูด (อ.ฮ.)
นบีสุลัยมาน (อ.ฮ.)
นบีอัยยูบ (อ.ฮ.)
นบียูซุฟ (อ.ฮ.)
นบีมูซา (อ.ฮ.)
นบีฮารูน (อ.ฮ.)
____________________
อัลอันอาม : 85
____________________
นบีซะกะรียา (อ.ฮ.)
นบียะฮ์ยา (อ.ฮ.)
นบีอีซา (อ.ฮ.)
นบีอิลยาส (อ.ฮ.)
____________________
อัลอันอาม : 86
____________________
นบีอิสมาอีล (อ.ฮ.)
นบีอิลยาซะอ์ (อ.ฮ.)
นบียูนุส (อ.ฮ.)
และนบีลูฏ (อ.ฮ.)
เหล่านี้คือบรรดาคนดี ที่อัลลอฮทรงยก เด่น เหนือประชาชาติทั้งหลาย
____________________
อัลอันอาม : 92
____________________
พระองค์ยังทรงพูดถึงอัลกุรอ่าน ว่านี่ คือคัมภีร์ที่มีความจำเริญ บารอกัต ซึ่งยืนยัน คัมภีร์ก่อนหน้านี้ (เตารอต อินญีล ซาบูร) .. ใครที่ศรัทธาต่อวันพิพากษา เขาจะศรัทธาต่อคัมภีร์นี้ ... และเขา จะดำรงไว้ ซึ่งการละหมาด
____________________
อัลอันอาม : 93
____________________
และผู้ที่กล่าวความเท็จต่ออัลลอฮ .. มลาอีกัต จะแบมือ และกล่าวว่า .. จงเอาชีวิตเจ้ามา... และวันนั้น จะเป็นวันลงโทษผู้ที่หยิ่ง ยโส ต่อโองการของอัลลอฮ
โดยพวกเขาจะมาโดยลำพัง ไร้ความช่วยเหลือใดๆ สิ่งที่พวกเขายึดเหนี่ยวนั้น ได้แตกเป็นเสี่ยงๆ ไร้คุณค่า ไร้ตัวตน ไร้ซึ่งความช่วยเหลือใดๆ
____________________
อัลอันอาม : 95
____________________
พระองค์ยังกล่าวต่อ ว่า พระองค์ คือผู้ทรงทำให้เมล็ดพืชและเมล็ดอินทผาลัมนั้น ปริออก ทรงให้ชีวิตแก่สิ่งไม่มีชีวิต และทรงทำให้สิ่งมีชีวิต ไม่มีชีวิต นั่นแหละ คือ อัลลอฮ .. และอย่างไรเล่า ที่พวกเจ้าถูกหันเหไปได้ (ยังจะไปเคารพ สักการะ บูชา ตั้งภาคีกับพระองค์อีก)
____________________
อัลอันอาม : 96
____________________
ผู้ทรงเผยรุ่งอรุณ ทรงให้มีกลางวัน กลางคืน ตามการคำนวณ นั่นคือการกำหนดให้มีขึ้น ของผู้ทรงเดชานุภาพ ผู้ทรงปรีชาญาณยิ่ง
____________________
อัลอันอาม : 97
____________________
ผู้ทรงให้มีดวงดาว นำทางจากความมืดทั้งทางบกและทางทะเล
____________________
อัลอันอาม : 98
____________________
ผู้ทรงให้พวกเจ้าเกิดขึ้นมา จากชีวิตหนึ่ง
____________________
อัลอันอาม : 99
____________________
ผู้ทรงหลั่งน้ำลงมาจากฟากฟ้า
ผู้ทรงทำให้พืชพันธุ์งอกเงย จากต้นอินทผาลัม องุ่น มะกอก และทับทิม
จงมองดูผลของมัน เมื่อมันเริ่มออกผล และสุกงอม
เหล่านี้ เป็นสัญญานมากมาย สำหรับผู้ศรัทธา
____________________
อัลอันอาม : 101
____________________
พระองค์ทรงประดิษฐ์ชั้นฟ้าและแผ่นดิน
ปราศจากการมีบุตร .. ทรงบังเกิดทุกสิ่ง และทรงรู้ในทุกสิ่งด้วย
นั่นแหละ คืออัลลอฮ พระเจ้าของพวกเจ้า และไม่มีผู้ใด ควรได้รับการเคารพ ภักดี นอกจากพระองค์ ผู้ทรงบังเกิดทุกสิ่ง นั่นเอง
____________________
อัลอันอาม : 108
____________________
(( จากนั้น จะมาจากเหตุการณ์คือ อาบูญะฮัล มากล่าวแก่ท่านนบีมูฮัมหมัด(ซอลฯ) ว่า มูฮัมหมัด เจ้าหยุดประณาม ด่าว่าพระเจ้าของเราได้แล้ว มิเช่นนั้น ข้าจะสาปแช่งพระเจ้าของเจ้า (ดูความโอหังของมัน...) ))
และอัลลอฮ (ก็ทรงประทานอายัต) กล่าวว่า และพวกเจ้า .. จงอย่าด่าว่าบรรดา สิ่งที่พวกเขา วิงวอนขอ อื่นจากอัลลอฮ ... และ (มิเช่นนั้น) พวกเขา ก็จะด่าว่าอัลลอฮ เป็นการละเมิด โดยปราศจากความรู้.. ซึ่งพระองค์จะทรงตอบแทน ตามที่พวกเขาฝ่าฝืนไม่ศรัทธา
(( ในช่วงนั้น มุสลิม จะสาปแช่ง พวกรูปปั้น และพระเจ้าของพวกกาฟิร .. สิ่งที่กาฟิรทำ คือพวกมัน ก็ด่า และสาปแช่งอัลลอฮ .. อัซตัฆฟิรุลลอฮ .. อัลลอฮ จึงทรงสั่งห้าม ไม่ให้ผู้ศรัทธา ใช้วิธีการโต้ตอบ พวกนี้ โดยการด่า .
ซึ่ง บทลงโทษพวกนั้น .. อัลลอฮ ทรงเตรียมให้ไว้อยู่แล้ว .. แค่รอเวลา .. ))
____________________
อัลอันอาม : 110
____________________
พระองค์ จะทรงพลิกหัวใจพวกเขา จะทรงปิดตาพวกเขา ไม่ให้เห็นสัจธรรม และจะให้พวกเขา หลง งมงาย หลงทางกันต่อไป..
บทความที่น่าสนใจ