
ซูเราะฮ์ อันนีซาอ์ ที่ต่อจากญุซที่ผ่านมา โองการมากมายที่ถูกประทานลงมา
สรุปความ อัล-กุรอาน ญุซที่ 6
ซูเราะฮ์ อันนีซาอ์ ที่ต่อจากญุซที่ผ่านมา โองการมากมายที่ถูกประทานลงมา ... ส่วนหนึ่งในนั้น :-
___________________
อันนีซาอ์ : 148
____________________
อัลลอฮฺไม่ทรงชอบการใช้เสียงดัง ในถ้อยคำที่เลวร้าย ยกเว้นผู้ที่ถูกอธรรม (เพื่อฟ้องหรือแจ้งเจ้าหน้าที่รักษากฏหมายทราบ ถึงความผิดของผู้ที่ข่มเหงเขา)
___________________
อันนีซาอ์ : 149
____________________
พระองค์ทรงตรัส ถึงผู้ที่ เปิดเผยความดี หรือปกปิดความดี หรือให้อภัยความชั่วที่เกิดขึ้น แท้จริง อัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษ และเมตตาเสมอ (มีรางวัลอย่างแน่นอน)
___________________
อันนีซาอ์ : 150
____________________
พระองค์ ยังทรงกล่าวถึง ผู้ปฏิเสธศรัทธา ที่พวกเขา ไม่ได้ศรัทธาต่ออัลลอฮฺ และรอซูล หรือเลือกศรัทธาคนนี้ ไม่ศรัทธาคนนี้ พวกเขานั้นเป็นผู้ปฏิเสธอย่างแท้จริง และอัลลอฮฺ ทรงเตรียมการลงโทษอันแสนอัปยศไว้แล้ว
( ตัวอย่างเช่น วงศ์วานอิสรออีล ที่ได้รับศาสนาจากอัลลอฮฺ ในคำภีร์เตารอตของท่านนบีมูซา(อฮ.) หรือแม้แต่ในคัมภีร์อินญีลของท่านนบีอีซา(อฮ.) ล้วนมีกล่าว ว่าจะมีนบีคนสุดท้ายมายังพวกเจ้า ชื่อของเขาคือ อะฮ์หมัด(หรือ มูฮัมหมัด))
___________________
อันนีซาอ์ : 153
____________________
ซึ่งพวกเขาก็รอคอย คิดว่า น่าจะเป็นใครคนหนึ่งในวงศ์วานอิสรออีลแน่ เพราะพวกเขาเป็นวงศ์วานที่อัลลอฮฺทรงยกระดับสูงกว่ามนุษย์คนอื่นๆ (เป็นกลุ่มคนมีความสามารถ เก่ง มีนบีมากมาย แต่นั้นแหละ พวกเขาก็มักดื้อดึง และ เย่อหยิ่ง) แต่สุดท้าย ท่านนบีคนสุดท้าย กลับมาจากวงศ์วานกุร็อยช์ กลางทะเลทรายมักกะฮ์ โน่นนน พวกนี้จึงไม่ศรัทธาต่อท่านนบีมูฮัมหมัด(ศอลฯ) อัลลอฮฺจึงเรียกพวกนี้ว่า อัลมัฆฎูบ (ที่เราอ่านในซูเราะฮ์ อัลฟาตีฮะฮ์ "ฆ็อยริล มัฆฎูบี) คือ ผู้ที่ถูก(อัลลอฮฺ) ทรงกริ้ว นั่นเอง) จากนั้น พระองค์ได้กล่าวถึง ตอนที่ท่านนบีมูฮัมหมัด(ศอลฯ) ถูกยาฮูดีในสมัยนั้น ถามถึงความเป็นนบีของท่าน ว่าถ้าเป็นนบีจริง ท่านจงขอต่ออัลลอฮฺ ให้ประทานคัมภีร์ ที่ถูกเขียน ลงมาจากฟากฟ้า ดั่งที่พระองค์ทรงประทานให้นบีมูซา(อฮ.) ของเราสิ
อัลลอฮฺยังทรงเล่าต่อ ว่าที่พวกนี้ขอนั้น น้อยกว่าตอนที่วงศ์วานอิสรออีล (บรรพบุรุษของพวกนี้) ตอนที่อยู่กับนบีมูซา(อฮ.)ขอ อีก เพราะพวกเขา ขอให้พวกเขา ได้มองเห็นอัลลอฮฺ พระองค์ จึงทรงส่งสายฟ้า ฟาดผ่าพวกนี้จนตาย เพราะความอธรรมและดื้อดึง ((ซึ่งหลังจากนั้น พระองค์ ก็ฟื้นคนพวกนี้ คืนชีพขึ้นมา เพราะให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของพระองค์))
อัลลอฮฺยังทรงเล่าต่อ แต่ไม่ว่า หลังจากสัญญานที่อัลลอฮฺทรงแสดงให้เห็น พวกเขา ก็ยังกลับไปหล่อรูปปั้นวัว ขึ้นมากราบไหว้อีก ((และก็เกิดเรื่องต่างๆ ดังที่มีกล่าวในญุซ 1)) แต่สุดท้าย อัลลอฮฺก็ทรงให้อภัยพวกเขา และพระองค์ ได้ให้แก่ท่านมูซา(อฮ.) ซึ่งอำนาจ อันชัดเจน (คือ สามารถปกครองพวกที่ดื้อดึงเหล่านี้ได้ กระทั่งอัลลอฮฺบัญชาให้พวกเขาฆ่าตัวตาย พวกเขาก็ปฏิบัติตาม)
___________________
อันนีซาอ์ : 154
____________________
พระองค์ยังทรงเล่าต่อ ว่าพวกเขาที่ดื้อดึงนั้น พระองค์ จึงยกภูเขาฏูรขึ้นไป เป็นสัญญานความยิ่งใหญ่ และให้พวกเขา สัญญาว่าจะไม่ฝ่าฝืนอีก ให้พวกเขาได้เข้าไปในประตู (คือ ประตู ฮิฏเฏาะฮ์ หนึ่งในประตูเข้าสู่ บัยตุลมักดิส ที่ปาเลสไตน์) โดยให้โน้มศีรษะลง ด้วยความนอบน้อม
___________________
อันนีซาอ์ : 155
____________________
และจงอย่าละเมิดในวันสะบาโต (วันเสาร์ ที่ไว้ทำอีบาดัต ห้ามล่าปลา ถูกกล่าวไว้แล้ว ในญุซ 5) ทรงให้พวกเขา (วงศ์วานอิสรออีล) ให้คำสัญญา ว่าจะไม่ฝ่าฝืนอีก แต่พวกเขา ก็ละเมิดคำสัญญานั้น (ท่านนบีมูซา(อฮ.) เนี่ย หลังจากที่พากันร่อนเร่ในทะเลทรายกันเป็นเวลานาน ตอนที่ท่านจะเสียชีวิตลง ท่านเสียใจ ที่อุมัตของท่านนั้น ช่างมีนิสัยดื้อดึงเสียจริง มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้น ที่ศรัทธาอย่างแท้จริง เมื่อท่านเสียชีวิตลง คนสนิท ที่เป็นคนรับใช้ของท่านที่ชื่อ ยูชะอ์ อิบนุ นูน ก็มาดูแลปกครองพวกนี้ต่อ) และพวกเขา (วงศ์วานอิสรออีล) ได้ปฏิเสธการศรัทธา และพวกเขา ได้สังหารนบีของอัลลอฮฺ อย่างไร้ความเป็นธรรม (เช่น ท่านนบีซะกะรียา(อฮ.) และ ท่านนบียะฮ์ยา(อฮ.)) อัลลอฮฺทรงประทับตราบาปอันหนักหน่วง บนหัวใจของพวกเขาเหล่านี้
___________________
อันนีซาอ์ : 156-158
____________________
และพวกเขา ยังกล่าวให้ร้ายแก่พระนางมัรยัม (ที่มีบุตรแต่ไม่มีพ่อ) และยังกล่าวว่าตน ได้สังหารบุตรของพระนาง คือ ท่านนบีอีซา(อฮ.) โดยการตรึงไม้กางเขน แต่หารู้ไม่ อัลลอฮฺทรงกล่าวว่า พระองค์ทรงทำให้คนคนนั้น มีหน้าตาเหมือน ท่านนบีอีซา(อฮ.) (แต่ไม่ใช่ตัวจริง และพวกเขาเข้าใจผิด ว่าตัวจริง นี่คือพวก อัฎฎอล~ลีน ผู้หลงผิด ที่เราอ่านในซูเราะฮ์ อัลฟาตีฮะฮ์ "วะลัฎ ฎอล~ลีน" นั่นเอง ) และคนเหล่านั้น ก็เชื่อว่าตนได้สังหารท่านนบีไปแล้ว เผยแพร่ความคิดนี้แก่คนต่อๆ มา ซึ่งนั้น ไม่ใช่ความจริงเลย เพราะแท้จริง พระองค์ ทรงยกท่านนบีอีซา(อฮ.) ขึ้นไป (บนฟ้า ชั้นที่ 2 **ไม่ใช่สวรรค์** จากฮาดิษอิสรออ์ มิอ์รอจ ที่ท่านนบีมูฮัมหมัด(ซอลฯ) พบกับท่าน ที่ฟ้าชั้น 2) และท่าน จะลงมาเป็นสักขีพยาน ว่าท่านยังไม่ตาย ก่อนวันกียามัต (ช่วงที่อีหม่ามมะฮ์ดี กำลังจะละหมาดซุบฮ์ ในเช้าวันหนึ่ง ท่านก็จะลงมาพร้อมมลาอีกัต ณ ประภาคารสีขาว ที่ซีเรีย เพื่อมากำจัดดัจญาล ซึ่งขณะนั้น จะกำลังซ่องสุมกำลัง อยู่ในปาเลสไตน์ และแก้ไขความเท็จสู่ความจริง แก้ไขความบิดเบือนที่ว่าท่าน ถูกตรึงไม้กางเขนตายไปแล้ว)
___________________
อันนีซาอ์ : 160-161
____________________
พระองค์ยังทรงกล่าวถึง พวกยาฮูดีอีก ว่า พวกเขาฝ่าฝืนคำสั่งของอัลลอฮฺ กินดอกเบี้ย กินทรัพย์สินผู้อื่นโดยมิชอบ พระองค์ จะทรงลงโทษพวกนี้ ด้วยการลงโทษอันแสนสาหัส
___________________
อันนีซาอ์ : 163
____________________
อัลลอฮฺได้ทรงกล่าว ว่าพระองค์ ทรงประทานคัมภีร์ ให้แก่ท่านนบีมูฮัมหมัด(ซอลฯ) ดังที่พระองค์ เคยประทานคัมภีร์ทางนำนี้ แก่ท่านนบีนูฮ(อฮ.) และนบีหลังจากนั้น :-
และพระองค์ ได้มีโองการ แก่ท่านนบีอิบรอฮีม (อฮ.)
แก่ท่าน นบีอิสมาอีล (อฮ.)
แก่ท่าน นบีอิสฮาก (อฮ.)
แก่ท่าน นบียะอ์กู๊บ (อฮ.)
แก่บรรดา อัลอัสบาฏ (**)
แก่ท่าน นบีอีซา (อฮ.)
แก่ท่าน นบีอัยยูบ (อฮ.)
แก่ท่าน นบียูนุส (อฮ.)
แก่ท่าน นบีฮารูน (อฮ.)
แก่ท่าน นบีสุลัยมาน (อฮ.)
และพระองค์ ยังทรงประทานคัมภีร์ ซาบูร แก่ท่าน นบีดาวูด (อฮ.)
( ** อัลอัสบาฏ คือ ลูกของท่านนบียะอ์กู๊บ (อฮ.) ท่านนบียะอ์กู๊บ (อฮ.) มีอีกชื่อว่า อิสรออีล ลูกหลานของท่าน จึงเป็น วงศ์วานอิสรออีล = วงศ์วานของยะอ์กู๊บ .. ลูกของท่านมี 12 คน รวมถึงท่านนบี ยูซุฟ (อฮ.) ซึ่งเป็นคนที่ 11 มีพี่ชายท่านนบียูซุฟ (อฮ.) 10 คน และน้องชายท่าน บินญามิน 1 คน
ทั้งหมด คือ อัลอัสบาฏ พวกเขาล้วนเป็นผู้ศรัทธา คนดี ได้รับโองการจากอัลลอฮฺ์
บางคนสงสัยว่า พี่ชายท่านนบียูซุฟ(อฮ.) เคยคิดฆ่าท่าน ตอนยังเด็ก นั่นเป็นเพียงช่วงเวลาหนึ่ง เพราะหลังจากนั้น พวกเขาทั้ง 10 ล้วนเตาบัต และสำนึกตนอย่างมากมาย (ซึ่ง จะมีกล่าวใน ญุซ 12) และสุดท้าย พวกเขา ล้วนเป็นคนดี นั่นเอง **)
___________________
อันนีซาอ์ : 164
____________________
อัลลอฮฺยังทรงกล่าวแก่ท่านนบีมูฮัมหมัด(ซอลฯ) ว่ามีรอซูลบางท่าน ที่พระองค์ทรงเล่าเรื่องของเขาให้ท่านฟังมาแล้ว และรอซูลบางท่าน พระองค์ก็ไม่ได้เล่าให้ท่านฟัง (เช่น ท่านนบีอิดรีส(อฮ.) เป็นต้น) ทั้งพระองค์ยังกล่าวว่า การที่พระองค์ได้ตรัสกับท่านนบีมูซานั้น เป็นความจริง (มีนบีเพียงไม่กี่ท่านหรอก ที่อัลลอฮฺได้ทรงตรัสด้วยตรงๆ เช่นกับท่านนบีมูซา(อฮ.) หรือกับท่านนบีมูฮัมหมัด(ซอลฯ) ของเรา ในตอนมิอ์รอจ รับบัญญัติการละหมาด นั่นเอง)
___________________
อันนีซาอ์ : 165
____________________
และหน้าที่ของบรรดารอซูล คือการแจ้งข่าวดี การนำทางนำมาเผยแพร่ เพื่อที่มนุษย์ จะได้ไม่แก้ตัวในวันกียามัต (ว่ายังไม่มีใครมาบอกถึง สัจธรรมนี้)
___________________
อันนีซาอ์ : 168-169
____________________
จากนั้น พระองค์จึงกล่าวต่อ ถึงพวกปฏิเสธศรัทธา ที่พวกเขาจะไม่ได้รับทางนำใดๆ จะหนีไปทางไหนก็ไม่ได้ ไร้ทางออกใดๆ มีเพียงหนทาง สู่นรกญะฮันนัม ตลอดกาลเท่านั้น
___________________
อันนีซาอ์ : 171
____________________
จากนั้น พระองค์ยังทรงยืนยันถึงความบริสุทธิ์ ในเรื่องราวของท่านนบีอีซา(อฮ.) ว่าท่าน เป็นเพียงมนุษย์ เป็นรอซูลท่านหนึ่งของพระองค์ เป็นวิญญาน ที่พระองค์ทรงเป่าแก่พระนางมัรยัม เป็นดำรัสหนึ่ง ของพระองค์ที่ทรงกล่าว แก่พระนาง :
"จงหยุด กล่าว ว่า 3 องค์ (ดังที่เขากล่าวว่า พระบิดา พระบุตร พระจิต) อัลลอฮฺ เป็นพระเจ้าองค์ที่แท้จริง เพียงองค์เดียว บริสุทธิ์จากการมีบุตร และทุกสรรพสิ่งมวล นั้น ล้วนเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์ ทั้งสิ้น"
___________________
อันนีซาอ์ : 172
____________________
ทั้งพระองค์ ยังทรงกล่าวว่า ท่านนบีอีซา(อฮ.) นั้น ไม่มีความเย่อหยิ่ง ในการทำอีบาดัตต่อพระองค์ (ท่านเป็นเพียงมนุษย์ เป็นเพียงบ่าว ของพระองค์ ไม่ยโส โอ้อวดตัวเองว่ายิ่งใหญ่ ดังที่บางคนยกให้เป็น) เช่นเดียวกัน บรรดามลาอีกัต ก็ไม่ได้เย่อหยิ่ง ต่อพระองค์ และผู้ใด ที่เย่อหยิ่ง ยโส ต่อพระองค์ พระองค์นั้น จะรวมพวกมันไว้ด้วยกัน และลงโทษอย่างสาสมที่สุด
___________________
อันนีซาอ์ : 173-175
____________________
แต่ทางด้านผู้ศรัทธาต่อพระองค์ ผู้รักษาการทำอีบาดัตต่อพระองค์ อย่างไม่เย่อหยิ่งนั้น พระองค์ ก็จะทรงเตรียมการตอบแทน อย่างงดงาม และมีเกียรติไว้ให้ ทั้งพวกเขา จะได้เข้าไปอยู่ ในความเอ็นดู และเมตตาของพระองค์
___________________
อันนีซาอ์ : 176
____________________
จากนั้น ซูเราะฮ์ อันนีซาอ์ ที่เดินทางกันมาถึง 3 ค่ำคืน ก็จะจบลง ด้วยอายัต แบ่งมรดกอีก 1 อายัต ซึ่งส่วนหนึ่งจากในนั้น กล่าวถึง หาก ผู้ตายไม่มีบุตร เหลือพี่สาวหรือน้องสาวของเขาไว้ พวกนางจะได้ 1/2 ถ้ามีคนเดียว 2/3 ถ้ามีหลายคน (เช่น มีคนตาย เขาเหลือพ่อ 1 คน กับน้องสาว 1 คน) น้องสาวจะได้ 1/2 และ พ่อ จะได้ที่เหลือ คือ อีก 1/2 .. หรือ ถ้ามีน้องสาว 4 คน น้องสาวทั้งหมด รวมกัน จะได้ 2/3 และ พ่อ จะได้ที่เหลือ คือ 1/3 ส่วนกองของบรรดาน้องสาว 2/3 นั้น เอามาแบ่งเป็น 4 กอง และจึงค่อยแบ่งให้คนละ 1 กอง) และ อื่นๆ
อัลลอฮฺทรงกล่าวว่า "อัลลอฮฺทรงแจกแจงให้กับพวกเจ้า แน่นอนพวกเจ้าจะได้ไม่หลงผิด และแน่แท้อัลลอฮฺนั้น ทรงรอบรู้ ในทุกสิ่ง ทุกอย่าง"
จากนั้น จะเข้าสู่ ซูเราะฮ์ ที่ 5 อัลมาอีดะฮ์ (สำรับอาหาร)
___________________
อัลมาอีดะฮ์ : 1
____________________
อัลลอฮฺทรงกล่าวในตอนเริ่มต้นซูเราะฮ์นี้ ถึงการรักษาสัญญา ว่าจงรักษาให้ครบถ้วน
___________________
อัลมาอีดะฮ์ : 2
____________________
จากนั้น พูดถึง พระองค์ทรง อนุมัติ (อนุญาต - ฮาลาล) ในการบริโภคปศุสัตว์ (พวก วัว ควาย แพะ แกะ เป็นต้น) แต่ไม่อนุมัติพวกมัน ตอนที่กำลังครองอิฮ์รอม (ผู้ที่กำลังประกอบพิธีฮัจญ์ ไม่สามารถล่าสัตว์ หรือฆ่าสัตว์พวกนี้ในตอนประกอบอีบาดัตนั้นได้) พระองค์นั้น เป็นผู้ที่ทรงชี้ขาด (วางบทบัญญัติไว้) ตามที่พระองค์ ทรงประสงค์
( พระองค์ทรงสั่งห้ามเพิ่มเติม หรือตัดทอน บทบัญญัติ ของพระองค์ ทุกอย่างถูกวางไว้อย่างชัดเจนแล้ว (พวกที่ชอบอ้างว่าทำอีบาดัตใดๆ โดยที่ไม่มีหลักฐานจากกุรอ่านและซุนนะฮ์ ควรท่องจำอายัตนี้!) )
ห้ามการหลั่งเลือดในเดือนต้องห้าม (ณ ที่นี้ หมายถึง 3 เดือน ซุลกิอ์ดะฮ์ ซุลฮิจญะฮ์ และ มุฮัรร็อม) (ก่อนหน้านี้ ในหนึ่งปี เดือนต้องห้าม ซึ่งเป็นเดือนที่ยิ่งใหญ่ ในหมู่ชาวอาหรับ ที่ห้ามการทะเลาะ การสงคราม การหลั่งเลือดกันมี 4 เดือน ซึ่งทุกคนจะต้องพักรบกันชั่วคราว คือเดือน ซุลกิอ์ดะฮ์ ซุลฮัจญะฮ์ มุฮัรร็อม และ ราญับ แต่เมื่ออัลกุรอ่านถูกประทานลงมาในเดือนรอมฎอน ทั้งยังบัญญัติให้ถือศีลอดในเดือนนี้ ทั้งยังมีกล่าวว่ามีค่ำคืนที่มีค่ามากกว่า 1000 เดือน ทำให้ เดือนรอมฎอนนั้น กลายเป็น เดือนที่ประเสริฐที่สุด แต่การเป็นเดือนต้องห้ามของเดือนเหล่านั้น ก็ยังคงอยู่)
"จงช่วยเหลือกันในการทำความดี และจงห้ามปรามจากการทำความชั่ว และจงพึงกลัวอัลลอฮฺเถิด แท้จริง พระองค์นั้น ทรงเด็ดขาด ในการลงโทษ!"
___________________
อัลมาอีดะฮ์ : 3
____________________
จากนั้น พระองค์ทรงกล่าวถึง ชารีอัตที่ว่า :
"ห้ามบริโภค !! - สัตว์ที่ตายเอง ,เลือด ,เนื้อสุกร ,สัตว์ที่ถูกเปล่งนามอื่นนอกจากอัลลอฮฺ ,สัตว์ที่ถูกรัดคอ ,สัตว์ที่ถูกตีตาย ,สัตว์ที่ตกเหวตาย ,สัตว์ที่ถูกขวิดตาย ,สัตว์ที่ถูกสัตว์ร้ายอื่นกิน ,สัตว์ที่ถูกเชือด บนแท่นบูชา และทั้งยังทรง ห้ามในการเสี่ยงทาย
จากนั้น พระองค์ทรงกล่าวว่า พวกปฏิเสธศรัทธา หมดหวังในศาสนาของพวกเจ้าแล้ว พวกเจ้าจงอย่าได้กลัวพวกมัน และจงกลัวข้าเถิด (อัลลอฮฺทรงทำให้อิสลามนั้นสมบูรณ์ ไร้ช่องโหว่ใดๆ ให้ใครมาโจมตี) และอัลลอฮฺได้ทรงกล่าวว่า "ในวันนี้ ข้าได้ให้ความสมบูรณ์แก่พวกเจ้าแล้ว ซึ่งศาสนาของพวกเจ้า และข้า ได้ให้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว ซึ่งในความเมตตากรุณาของข้า และข้า ได้เลือกอิสลาม เป็นศาสนาแก่พวกเจ้าแล้ว"
(นี่คืออายัต "อัลเยามา อักมัลตู ลากุม " ที่หลายคนจำนั่นเอง มีประเด็นดังนี้ :-
1. อายัตนี้ ถูกประทานลงมา ในช่วงเวลาอัศริ ของวันศุกร์ ที่ 9 ซุลฮิจญะฮ์ ฮศ 10 (คือวันอารอฟะฮ์ ในฮัจญ์วีดาอ์ หรือฮัจญ์อำลา ฮัจญ์แรก ฮัจญ์เดียว และฮัจญ์สุดท้าย ของท่านนบีมูฮัมหมัด(ซอลฯ) นั่นเอง ซึ่งมีรายงานจาก ท่านอุมัร(รฎ.) ว่าถูกประทาน ในวันศุกร์ วันอารอฟะฮ์ เช่นเดียวกับรายงานจากท่านอิบนุอับบาส(รฎ.) ตอนที่ท่านเสวนาอยู่กับ ยาฮูดีคนหนึ่ง ว่าถูกประทานลงมาในวันศุกร์ วันอารอฟะฮ์
2. ความหมายของอายัตนี้ แสดงถึงความสมบูรณ์ของอิสลามแล้ว ศาสนาหนึ่งเดียวของพระองค์ บรรดาซอฮาบัต ที่ได้ฟังคุตบะฮ์ในวันนั้น เมื่อได้ยินท่านนบีมูฮัมหมัด(ซอลฯ) อ่านอายัตนี้ ต่างพากันร้องไห้ ซึ่งสามารถตีความได้ว่า ท่านนบีนั้น ได้ทำหน้าที่บรรลุ เสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว หมายความว่า อีกไม่นาน อัลลอฮฺก็จะทรงรับท่านนบีกลับไป อีกไม่นาน ท่านนบีก็จะเสียชีวิตแล้ว คิดได้ดังนั้น ต่างพากันร้องไห้ (หากเราอยู่ ณ ที่ตรงนั้น ความรู้สึก คงยากจะบรรยาย ขนาดแค่เราอ่านตอนนี้ ที่ท่านนบีจากเราไปถึง 1430 ปีแล้ว เรายังรักท่าน รู้สึกคิดถึงท่าน ทั้งๆ ที่เราไม่รู้จักหน้าตาท่านด้วยซ้ำ นับประสาอะไร ถ้าเราอยู่ ณ จุดจุดนั้น ฟังคุตบะฮ์ ได้ยินอายัตนั้น ซึ่งเป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะหลังจากฮัจญ์ครั้งนั้น ท่านนบีก็ล้มป่วย อาจจะด้วยเพราะยาพิษที่พวกยาฮูดีใส่ไว้ในชามซุปท่าน ในสงครามครั้งก่อน หรือไม่ ประการใด ท่านป่วยอยู่ 3 เดือน และเสียชีวิตในเดือนรอบีอุลเอาวัล ในปี ฮ.ศ. ที่ 11 นั่นเอง
3. ถึงความหมายจะเป็นการกล่าวว่า ศาสนานั้นสมบูรณ์ แต่อายัตนี้ ***ไม่ใช่*** อายัตสุดท้ายของอัลกุรอาน ที่อัลลอฮฺทรงประทานแก่ท่านนบี ตามที่หลายคนเข้าใจกัน ... มีความเห็นอุลามาอ์ "ขัดแย้งกัน" ถึงอายัตสุดท้าย ที่อัลลอฮฺทรงประทานแก่ท่านนบีของเรา โดยความเห็นส่วนใหญ่ ให้น้ำหนักว่าเป็นอายัต ที่ 281 ในซูเราะฮ์ อัลบากอเราะฮ์ ในญุซที่ 3 อายัตที่ว่า "และพวกเจ้า จงยำเกรงต่อวันหนึ่ง ซึ่งพวกเจ้าจะถูกนำกลับ ไปยังอัลลอฮฺในวันนั้น และแต่ละชีวิต จะถูกตอบแทนอย่างครบถ้วน ตามที่ชีวิตนั้นได้แสวงหาไว้ และพวกเขา จะได้ไม่ถูกอธรรม" รายงานจากท่าน อิบนุ อาบี ฮาติม จากท่าน ซะอีด อิบนุ ญุบัยร์ (รฎ.) (ซึ่งท่านเป็นซอฮาบัตที่เป็นนักวิชาการฟิกฮ์ ในสมัยท่านนบี(ซอลฯ)) ท่านกล่าวว่า หลังจากอายัตนี้ถูกประทานลงมา หลังจากนั้น 9 วัน ท่านนบีก็จากไป ส่วนตัว ก็เคยจำว่า อายัต อัลเยามา เป็นอายัตสุดท้าย จนกระทั่ง ได้ศึกษาถึงข้อขัดแย้ง ของนักวิชาการ จึงได้รู้
___________________
อัลมาอีดะฮ์ : 4
____________________
จากนั้น พระองค์จึงได้กล่าว ถึงสัตว์ที่ฮาลาล และให้กล่าวพระนามของพระองค์ (บิสมิลละฮ) ก่อนจะบริโภคมัน
___________________
อัลมาอีดะฮ์ : 5
____________________
จากนั้นพระองค์ ทรงพูดถึง ผู้หญิง ที่ดั้งเดิมนั้น ฮารอมสำหรับผู้ชาย แต่เมื่อผ่านการแต่งงาน ผู้หญิงคนนั้น ก็จะฮาลาลสำหรับผู้ชายคนนั้นทันที เป็นการอนุมัติจากองค์อัลลอฮฺ ที่พวกเขาแต่งงานกัน ไม่ใช่ยึดถือนางเป็นเพื่อน และผิดประเวณี (ซีนา) ในที่ลับๆกัน
___________________
อัลมาอีดะฮ์ : 6
____________________
อัลลอฮฺทรงกล่าวถึง วาญิบของการอาบน้ำละหมาด ได้แก่ :-
- ล้างหน้า
- ล้างมือถึงข้อศอก
- ลูบหัว
- ล้างเท้าถึงตาตุ่ม
และทรงกล่าว ว่าผู้ที่มีญะนาบะฮ์ ก็ให้อาบน้ำ (วาญิบ) เสีย และผู้ที่ป่วยผู้ที่เดินทาง ผู้ปลดทุกข์มา ผู้ที่สัมผัสผู้หญิงมา และไม่มีน้ำแถวนั้น ก็จงใช้ดินที่สะอาด (ตะยัมมุม) ลูบใบหน้า และมือ ... อัลลอฮฺนั้น ไม่ได้ทรงประสงค์ทำให้มันยากลำบากแต่อย่างใด แต่เพื่อให้พวกเจ้านั้น สะอาด ด้วยความเมตตาของพระองค์ เพื่อที่พวกเจ้าจะได้ขอบคุณ
___________________
อัลมาอีดะฮ์ : 12-13
____________________
จากนั้น อัลลอฮฺทรงกล่าวถึง วงศ์วานอิสรออีล ว่าพระองค์ ทรงเอาสัญญาจากพวกเขา พระองค์ ทรงแต่งตั้งให้พวกเขามีผู้ปกครอง 12 คน (อัลอัสบาฏ ที่อธิบายในต้นญุซนั่นเอง) ว่าอัลลอฮฺนั้น ทรงอยู่กับพวกเขา หากพวกเขาดำรงซึ่งการละหมาด การจ่ายซะกาต ศรัทธาต่อบรรดารอซูล และสนับสนุนพวกท่าน และอัลลอฮฺจะทรงอภัยโทษให้ นั่นเอง แต่พวกเขากลับเมินสัญญาของอัลลอฮฺ บิดพลิ้วคำตรัสของพระองค์ พระองค์จึงทำให้หัวใจของพวกเขานั้น แข็งกระด้าง ไม่รับทางนำใดๆ และคัมภีร์ใดๆ ที่พวกนี้ปกปิด หรือบิดเบือน มัน อัลลอฮฺก็ทรง ส่งท่านรอซูลมาแจกแจงสิ่งที่ปกปิดนั้น นำสัจธรรมกลับมา
___________________
อัลมาอีดะฮ์ : 17
____________________
และพระองค์ ทรงกล่าวปฏิเสธถึงกลุ่มคน ที่กล่าวว่า ท่านนบีอีซา(อฮ.) บุตร ของ พระนางมัรยัมนั้น เป็นพระเจ้า พระองค์ทรงกล่าวว่า ผู้คนในแผ่นดินนี้ทั้งหมด อำนาจในชั้นฟ้าทั้งหมด ทุกสิ่งอย่างในชั้นฟ้า และแผ่นนี้ทั้งหมด ล้วนเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์ (เท่านั้น ไม่ใช่ใครอื่นใด) และพระองค์ มีอานุภาพเหนือทุกสิ่ง
___________________
อัลมาอีดะฮ์ : 18
____________________
และบรรดายาฮูดี (ชาวยิว) และ นัศรอนี (ชาวคริสต์) กล่าวว่า แท้จริง เรา เป็นบุตรของพระเจ้า และ พระองค์ ทรงรักเรา อัลลอฮฺจึงทรงกล่าวแก่ท่านนบีมูฮัมหมัด(ซอลฯ) ให้ท่านกล่าวแก่คนเหล่านั้นว่า :
"แล้วทำไม พระองค์ถึงลงโทษพวกเจ้า ในความผิดของพวกเจ้ากันล่ะ? ไม่ใช่เลย (เหตุผลก็คือ เพราะ) พวกเจ้าเป็นแค่มนุษย์ธรรมดา ที่พระองค์ทรงบังเกิด เท่านั้น (พระองค์เป็นผู้สร้าง จึงมีสิทธิ์เต็มที่ในการลงโทษผู้กระทำผิด)"
___________________
อัลมาอีดะฮ์ : 19
____________________
จากนั้น อัลลอฮฺยังทรงเล่า ถึงเรื่องราวของวงศ์วานอิสรออีลต่อ ถึงในตอนที่ท่านนบีมูซา(อฮ.) ได้กล่าวแก่ประชาชาติของเขาว่า "พึงรำลึก ถึงความเมตตากรุณาของอัลลอฮฺเถิด ที่พระองค์ทรงให้พวกเจ้ามีนบี (บรรดานบีส่วนใหญ่นั้น มาจากวงศ์วานอิสรออีล เราไม่ได้กำลังพูดถึง ใน 25 คนนะ แต่พูดถึงจากนบีทั้งหมดหลายแสนท่าน ส่วนใหญ่เป็นวงศ์วานอิสรออีล) อัลลอฮฺทรงทำให้เจ้า มีกษัตริย์ และทรงประทานแก่เจ้า ในสิ่งที่ไม่ได้ประทานแก่ประชาชาติทั้งหลาย (เช่น แยกน้ำทะเลให้หนีรอดจากฟิรเอาวน์ ให้นกคุ่มบินมาตกเป็นอาหารตอนกำลังเดินทางในทะเลทราย เป็นต้น)"
___________________
อัลมาอีดะฮ์ : 21-25
____________________
จากนั้น พระองค์ทรงเล่าว่า (ถึงตอนหลังจากหนีจากฟิรเอาวน์มาได้ ก็ร่อนเร่ในทะเลทราย มีเรื่องมากมายเกิดขึ้น สุดท้าย เดินทางมาถึง แคว้นคะนาอัน (หรือกันอาน) ในเขตปาเลสไตน์ ซึ่งในเมืองตอนนั้น มีผู้คนอาศัยอยู่) นบีมูซา(อฮ.) กล่าวว่า "โอ้ประชาชาติของฉัน จงเข้าไป ในดินแดนอันบริสุทธิ์นี้ ที่อัลลอฮฺทรงกำหนดให้พวกเจ้าเถิด" (ต้องเข้าใจสภาพของวงศ์วานอิสรออีล ในขณะนั้น ที่เป็นทาส ถูกกดขี่มาโดยฟิรเอาวน์ยาวนานมาหลายรุ่น เคยชินกับการถูกกระทำ การถูกสั่ง ไม่มีความมั่นคงในจิตใจ และขี้ขลาด ถึงจะออกมาเป็นอิสระได้ ถึงขั้นที่บางคน อยากกลับไปตกอยู่ในสภาพนั้น ดีกว่ามาร่อนเร่กลางทะเลทรายด้วยซ้ำ แต่พวกเขาปฏิเสธที่จะเข้าไป ปฏิเสธที่จะเข้าไปยึดเมืองนั้น พวกเขากล่าวว่า เมืองนั่นเต็มไปด้วยผู้คนที่เหี้ยมโหด (เพราะชาวคะนาอันนั้น มีร่างกายที่แข็งแรง กล้าหาญ) พวกเขาขี้ขลาดเกินกว่าจะเข้าไปรบพุ่ง ทั้งๆ ที่พวกเขา (วงศ์วานอิสรออีล ที่ตามท่านนบีมูซา(อฮ.)) ในขณะนั้นมีกันมากมายเป็น แสนคน! และถึงแม้จะมีผู้ศรัทธา 2 คน ในหมู่พวกนั้น ชวนให้พวกของเขาเข้าไป และกล่าวว่า จงมอบหมายต่ออัลลอฮฺเถิด แต่พวกเขาก็ไม่เข้าไป)
___________________
อัลมาอีดะฮ์ : 26
____________________
นั่นทำให้อัลลอฮฺทรงพิโรธ และสั่งห้าม วงศ์วานอิสรออีล เข้ามาในดินแดน บัยตุลมักดิสนี้ เป็นเวลา 40 ปี (สุดท้าย พวกเขาก็ต้องร่อนเร่ในทะเลทรายต่อ เพราะความดื้อดึง ไม่แปลก ที่ก่อนตาย ท่านนบีมูซา(อฮ.) จะเสียใจ ซึ่งหลังจากนั้น พวกเขาก็ได้กลับมาที่เมืองนี้ เข้าเมืองนี้ ซึ่งเวลานั้น ท่านนบีมูซา(อฮ.) ก็เสียชีวิตไปแล้ว)
___________________
อัลมาอีดะฮ์ : 27-31
____________________
จากนั้น อัลลอฮฺได้ทรงเล่าเรื่องของกอบีล และฮาบีล ลูกชายของท่านนบีอดัม(อฮ.) ซึ่งท่านนบีมูซา(อฮ.) ก็ได้เล่าเรื่องนี้แก่ ประชาชาติของท่าน วงศ์วานอิสรออีลด้วย ... พระองค์เล่าว่า เป็นข่าวคราวของบุตรของอาดัมทั้งสองคน ที่ทั้งสองคนได้ทำการพลีสิ่งหนึ่ง (กอบีลนั้นทำไร่ คือ พลีพืชผล (แต่เป็นส่วนที่ไม่ดี) ส่วนฮาบีลนั้น เลี้ยงแกะ จึงพลีแกะไปตัวนึง (ซึ่งเป็นแกะที่ดีที่สุดที่เขามี)) และแน่นอน อัลลอฮฺทรง รับการพลีของฮาบีล คือ แกะ แต่ไม่รับของกอบีล ทำให้กอบีล อิจฉา และแค้นฮาบีล ...
( อธิบาย : คือเริ่มเรื่องเนี่ย ท่านนบีอดัม(อฮ.) กับพระนางฮาวา เนี่ย มีลูก 4 คน เป็นแฝด ชายหญิง 2 คู่ ได้แก่ กอบีล กับน้องสาว และฮาบีล กับน้องสาว ทีนี้ โลกในขณะนั้น ยังไม่มีใครอื่น อัลลอฮฺจึงทรงบัญชา ให้พวกเขาแต่งงาน สลับพี่น้องกัน คือ กอบีล จะต้องแต่ง กับน้องสาวฮาบีล ในขณะที่ ฮาบีล จะต้องแต่ง กับน้องสาว กอบีล แต่ น้องสาว กอบีลนั้นสวยกว่า กอบีลจึงอยากแต่ง กับน้องสาวตัวเอง ไม่อยากแต่งกับน้องสาว ฮาบีล ท่านนบีอดัม (อฮ.) ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ยกมือขอดุอาต่ออัลลอฮฺ ว่าข้าควรทำอย่างไร ... อัลลอฮฺ ก็ใช้ให้ทดสอบ ทั้ง 2 โดยให้พลี สิ่งที่มีค่าให้นั้นเอง ))
จากนั้น กอบีล จึงทำการลอบฆาตกรรม ฮาบีล ในตอนที่จะถูกฆ่านั้น ฮาบีล บอกว่าจะไม่โต้ตอบ และจะให้อัลลอฮฺทรง พิพากษาเจ้า และทำให้เจ้าเป็นหนึ่งในหมู่ ผู้เข้านรกของพระองค์ และฮาบีล ก็สิ้นชีพไป กอบีล ทำอะไรไม่ถูก (เพราะเป็นการฆาตกรรมแรกของโลก และเป็นบาป ครั้งที่ 3 ในจักรวาลนี้ )
(( บาปที่ 1 อิบลีส ฝ่าฝืนคำสั่งอัลลอฮฺ ที่ให้สุญูดต่อท่านนบีอดัม (อฮ.) ,บาปที่ 2 ท่านนบีอดัม (อฮ.) ฝ่าฝืนคำสั่งอัลลอฮฺ กินผลจากต้นคุลดี ในสวรรค์ และบาปที่ 3 กอบีล ฆาตกรรม ฮาบีล ))
อัลลอฮฺ จึงส่งอีกา 2 ตัว มาต่อสู้กัน ต่อหน้า กอบีล และให้ตัวหนึ่งฆ่าอีกตัวหนึ่ง จากนั้น มันก็ใช้ขา คุ้ยเขี่ยดิน จนเป็นหลุม และลากเอาศพของอีกตัวลงไปในนั้น กอบีล เมื่อเห็นดังนั้น ถ้าจะต้องเอาศพ น้องชายตน ลงไปในหลุมแบบนั้น เขาจึงรู้สึกโศกเศร้า และสังเวชในตัวเอง ที่กระทำสิ่งต่างๆ ลงไป ((ส่วนผล จะเป็นอย่างไร วัลลอฮฺุอะลัม เพราะแท้จริง อัลลอฮฺนั้น ทรงยุติธรรม ในการตัดสิน))
( อธิบาย : นี่เป็นวิธีการจัดการศพ ครั้งแรก ที่อัลลอฮฺทรงแสดงให้เห็น แต่วิธีการจัดการศพแบบสมบูรณ์นั้น เกิดขึ้น ตอนท่านนบีอดัม (อฮ.) เสียชีวิต หลังจากท่านสั่งเสียแก่บุตรของท่าน ท่านนบีเชษ(อฮ.) (หรือ ชีซ) ให้ทำหน้าที่ภักดีต่ออัลลอฮฺต่อไป โดยผู้ที่มาจัดการศพของท่าน คือ บรรดามลาอีกัต
ที่อาบน้ำ ห่อผ้า ฝังลงหลุม ซึ่งวิธีการนั้น ก็เป็นบัญญัติการฝังคนตาย ที่เราปฏิบัติกันในทุกวันนี้นั่นเอง)
จากนั้น อัลลอฮฺทรงกล่าวว่า : เช่นนั้นแหละ ที่พระองค์ทรงบัญญัติ ว่าใครก็ตามที่ฆ่าคนผู้หนึ่ง หรือบ่อนทำลายบนหน้าแผ่นดินนี้ แท้จริง เสมือนเขานั้นได้ฆ่ามนุษย์ทั้งมวล พระองค์ทรงกล่าวถึงผู้ปฏิเสธศรัทธา ที่แม้จะเอาทุกสิ่งทุกอย่าง ทรัพย์สินใดๆ บนโลกทั้งหมดมารวมกัน ก็ไม่สามารถไถ่ตัวเขา จากการลงโทษ ที่แสนเจ็บปวดของพระองค์ได้ พวกเขาอยากจะออกจากไฟนรก แต่แน่นอน ไม่มีทางออกสำหรับพวกเขา และจะอยู่ในนั้น ตลอดกาล)
___________________
อัลมาอีดะฮ์ : 38
____________________
จากนั้น พระองค์ ทรงกล่าวถึงบทบัญญัติของการขโมย ว่าจะต้องถูกตัดมือ(หลังจากผ่านการไต่สวนอย่างชัดเจนแล้ว) เพื่อเป็นเยี่ยงอย่างการลงโทษ และอัลลอฮฺนั้น ทรงเดชานุภาพ ทรงปรีชาญาน
___________________
อัลมาอีดะฮ์ : 44
____________________
พระองค์ทรงกล่าว ถึงคัมภีร์อัตเตารอต ที่นบีหลายท่านได้ใช้มันเป็นดั่งธรรมนูญ (เสมือนอัลกุรอ่าน ในสมัยนี้) และนักปราชญ์หลายท่าน ก็ได้ใช้คัมภีร์เตารอตนี้ ในการตัดสินความด้วย เพราะพวกเขา ได้รับมอบหมาย จากอัลลอฮฺ ให้ดูแลรักษา สิ่งนี้ไว้
( คัมภีร์เตารอต หรือ โตราห์ หรือ พันธะสัญญาเก่า ปัจจุบัน นั้น ไม่ใช่คัมภีร์เตารอตของอัลลอฮฺแต่อย่างใด หากศึกษา ประวัติศาสตร์ ของวงศ์วานอิสรออีล จะพบว่า พวกเขา ประสบพบกับวิบากกรรม นานับประการ สงคราม การแย่งชิง เผาเมือง การหนี โรคระบาด ภัยพิบัติ เรียกว่า คนที่จำคัมภีร์เตารอต นั้น ลดน้อยลงๆ จนเมื่อจะรวบรวมทั้งหมดจริงๆ ก็ไม่สามารถทำได้ จึงมีการแต่งใหม่ แต่งเพิ่ม และบิดเบือน จวบจนปัจจุบัน ซึ่งก็เหมือนกับ คัมภีร์อินญีล หรือ ไบเบิ้ล หรือ พันธะสัญญาใหม่ ที่ตอนนี้ มันคือสิ่งบิดเบือน ไปมาก และไม่เหมือนของที่ท่านนบีอีซา(อฮ.) ใช้สอนผู้คน ในเวลาของท่านแล้ว )
___________________
อัลมาอีดะฮ์ : 45
____________________
ซึ่งอัลลอฮฺก็ทรงบัญญัติโทษการฆ่าคน ว่าต้องแลกด้วยชีวิต (ฆ่า 1 ชีวิต ประหาร 1 ชีวิต) ตาแลกตา จมูกแลกจมูก หูแลกหู ฟันแลกฟัน และบาดแผลก็แลกกับบาดแผลเช่นเดียวกัน
(คือ ใคร ที่ทำร้ายคนอื่น เขาคนนั้น ต้องถูกลงโทษ ตามที่เขาทำกับคนอื่นไว้ ทำคนอื่นตาบอด เขาก็ต้องโดนทำให้ตาบอด เช่นนี้ เป็นต้น)
___________________
อัลมาอีดะฮ์ : 46
____________________
และอัลลอฮฺทรงกล่าว (หลังจากบรรดาท่านนบี ใช้คัมภีร์เตารอต) พระองค์ก็ทรงส่ง ท่านนบีอีซา(อฮ.) มายืนยัน สิ่งที่อยู่ในเตารอต และพระองค์ ยังสอน คัมภีร์ อินญีล ให้แก่ท่านนบีอีซา(อฮ.) ด้วย
___________________
อัลมาอีดะฮ์ : 47
____________________
และบรรดาผู้ที่ได้รับอินญีล (ประชาชาติของท่านนบีอีซา(อฮ.)) ก็จงตัดสิน ตามที่อัลลอฮฺ ทรงตรัสไว้ในคัมภีร์นั้น
___________________
อัลมาอีดะฮ์ : 48
____________________
หลังจากอัลลอฮฺ ทรงกล่าวถึง เตารอต และ อินญีล แล้วนั้น พระองค์ ได้กล่าวถึง กุรอ่านนี้ ที่ข้าประทานแก่เจ้า (มูฮัมหมัด(ซอลฯ)) ว่าเป็นสัจธรรม และจะยืนยัน สิ่งที่มีในคัมภีร์ก่อนหน้านั้น (เตารอตและอินญีล)
( อัลกุรอ่าน ที่เราอ่านกัน บางที่บางตอน อัลลอฮฺทรงกล่าวเช่นนี้เหมือนกัน ในเตารอตและอินญีล เวลาเราอ่านอัลกุรอ่าน นี่ไม่ใช่แค่อัลกุรอ่านอย่างเดียว มันมีสิ่งที่มีในเตารอต และอินญีลอยู่ด้วย เช่นเรื่อง กอบีลฮาบีล ก่อนหน้านี้ ก็มีกล่าวในเตารอด ท่านนบีมูซา(อฮ..) ก็ได้อ่านมันแล้วเช่นกัน เพียงแต่ แค่ไม่ใช่ภาษาอาหรับ เพราะเตารอด ถูกประทานลงมา เป็นภาษาฮิบรูโบราณ ส่วนอินญีล เป็นภาษา ซุรยานี หรือซีเรียโบราณ นั่นเอง )
___________________
อัลมาอีดะฮ์ : 49
____________________
อัลลอฮฺทรงกล่าว ว่าให้ท่านนบีมูฮัมหมัด(ซอลฯ) จงใช้อัลกุรอ่าน ในการ ตัดสินเรื่องใดๆก็ตาม จงอย่าปฏิบัติตามความใฝ่ต่ำของพวกเขา จงแข่งขันกันทำความดี และยังอัลลอฮฺนั้น คือการกลับไป
___________________
อัลมาอีดะฮ์ : 56
____________________
อัลลอฮฺยังทรงกล่าวอีกว่า ผู้ใดให้อัลลอฮฺ และรอซูลของพระองค์ และบรรดาผู้ศรัทธา เป็นมิตรแล้วนั้น แน่นอน พรรคของอัลลอฮฺ ย่อมได้รับชัยชนะ
___________________
อัลมาอีดะฮ์ : 57
____________________
จงอย่าไปเป็นมิตร กับผู้ที่เย้ยหยัน ล้อเล่น กับศาสนา และจงยำเกรงเถิด หากพวกเจ้า เป็นผู้ศรัทธา
___________________
อัลมาอีดะฮ์ : 58
____________________
และเมื่อพวกเจ้าเรียกร้องสู่การละหมาด พวกเขา ก็จะเย้ยหยันพวกเจ้า นั่นแหละ พวกเขาไม่ใช่ผู้ใช้ปัญญา
___________________
อัลมาอีดะฮ์ : 64
____________________
และชาวยาฮูดี นั้นได้กล่าวว่า แท้จริง พระหัตถ์ของอัลลอฮฺนั้น ได้ถูกล่ามตรวน หากแต่ที่จริงหาใช่เช่นนั้นไม่ พระหัตถ์ของอัลลอฮฺนั้น จะแบออก มอบริสกีมากมายมหาศาลต่างหาก พระองค์ยังทรงกล่าว ถึงผู้ที่บ่อนทำลาย บนหน้าแผ่นดิน สร้างสงคราม ความเกลียดชัง แน่นอน อัลลอฮฺทรงพิโรธ ผู้ที่บ่อนทำลาย
___________________
อัลมาอีดะฮ์ : 72
____________________
จากนั้นในช่วงท้ายๆ ญุซ อัลลอฮฺยังทรงกล่าว ถึงผู้ที่กล่าวว่า บุตรของมัรยัม (ท่านนบีอีซา(อฮ.)) นั้น เป็นพระเจ้า พวกนี้ ตกเป็นผู้ปฏิเสธแล้ว และท่านนบีอีซา(อฮ.) ยังได้กล่าวแก่ประชาชาติของท่าน ว่า วงศ์วานอิสรออีลเอ๋ย จงเคารพภักดีต่ออัลลอฮฺ ผู้ทรงเป็นพระเจ้าของข้าและของพวกเจ้า ใครตั้งภาคีต่อพระองค์ แน่นอน สวรรค์นั้น ได้เป็นที่ต้องห้ามแก่เขาแล้ว และจะพำนักอยู่ในนรก ไร้ความช่วยเหลือใดๆ
___________________
อัลมาอีดะฮ์ : 73
____________________
และใครที่กล่าวว่า อัลลอฮฺ เป็น ผู้ที่ 3 ของ 3 องค์ (พระเจ้ามี 3 องค์) แท้จริง พวกเขา ตกเป็นผู้ปฏิเสธแล้ว และแน่นอน จะต้องประสบพบกับการลงโทษอันเจ็บแสบ
___________________
อัลมาอีดะฮ์ : 74
____________________
อัลลอฮฺ ยังทรงกล่าว พวกเขาจะไม่สำนึก ไม่ขออภัยโทษต่อพระองค์กระนั้นหรือ แท้จริง อัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษ ทรงเอ็นดูเมตตาเสมอ
___________________
อัลมาอีดะฮ์ : 75
____________________
และพระองค์ยังกล่าวต่อไป ว่าแท้จริง อัลมาซีฮ์ บุตร ของมัรยัมนั้น (ท่านนบีอีซา(อฮ.)) เป็นรอซูลคนหนึ่ง ของพระองค์ และมารดาของท่าน เป็นหญิงที่มีสัจจะวาจา และทั้งคู่ ก็รับประทานอาหาร (เป็นเพียงมนุษย์ ต้องกินต้องดื่ม)
___________________
อัลมาอีดะฮ์ : 76
____________________
และพระองค์ ก็ให้ท่านนบีมูฮัมหมัด(ซอลฯ) กล่าวแก่ผู้ปฏิเสธศรัทธา ว่า พวกเจ้า จะเคารพสักการะสิ่งอื่นนอกจากอัลลอฮฺ ทั้งๆ ที่มัน ไม่ได้ให้โทษ ไม่ได้ให้ประโยชน์ใดๆ อะไรแก่เจ้าเลยอย่างนั้นหรือ ?? และ อัลลอฮฺนั้น เป็นผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงรอบรู้
บทความที่น่าสนใจ