คุชัวะในละหมาด ผู้ที่ได้รับการตอบรับ เป็นงานของหัวใจ หัวใจเป็นนายหรือเป็นผู้บริหาร ผู้นำของอวัยวะทั้งหมดภายในร่างกาย
คุชัวะในละหมาด ผู้ที่ได้รับการตอบรับ
คุชัวะ คือ ความสงบที่ก่อเกิดจากความเคารพ สงบทั้งกิริยา วาจา และจิตใจ เป็นการวิปัสสนาด้วยหัวใจ ในสภาพที่กิริยาเคลื่อนย้าย เพื่อแสดงความเคารพ สักการะ ต่ออัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตาอาลา เป็นการฝึกฝนการมีสมาธิในสภาพเคลื่อนไหว ซึ่งเกิด ประโยชน์จริงในสภาพของความเป็นจริง ถือเป็นสมาธิที่ล้ำลึกมากกว่าการมีสมาธิ ที่ฝึกฝนหรือกำหนดขึ้นในสภาพนั่ง นอนหรือยืนอย่างหนึ่งอย่างใด แต่เพียง ประการเดียว เพราะอิสลามต้องการให้เอาสมาธิไปใช้ในชีวิตจริง ไม่เพียงแต่มานั่งขัดสมาธิเท่านั้น นื่องจากได้พิจารณาเห็นว่า การนั่งสมาธิอย่างเดียวจะทำให้อิริยาบถอื่นๆ ไม่มีสมาธิ
คุชัวะ เป็นงานของหัวใจ หัวใจเป็นนายหรือเป็นผู้บริหาร ผู้นำของอวัยวะทั้งหมดภายในร่างกาย คือหัวใจที่กำกับหัวใจดวงที่เป็นก้อนเนื้อนี้ มิใช่หัวใจที่คือ ก้อนเนื้อ ก้อนนี้
ท่านรอซูล (ซ.ล.) เห็นคนๆ หนึ่งละหมาดด้วยท่าทีที่ไม่สงบ ท่านกล่าวว่า หากหัวใจของเราสงบ ร่างกายก็จะสงบด้วย อัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตาอาลา ได้กล่าวไว้ในกุรอานว่า :
ความว่า “บรรดาศรัทธาชน ย่อมได้รับชัยชนะ ศรัทธาชนนั้นคือผู้ที่การละหมาดของพวกเขามีคู่ชัวะ (สงบ)”
อนึ่งในเรื่องผลตอบแทนของการละหมาดนี้ บางโองการกล่าวว่า :
ความว่า “เหวในขุมนรกจะประสพแก่บรรดาผู้ละหมาด ที่การละหมาดของพวกเขา พวกเขาเลินเล่อ”
จึงสรุปได้ว่า บางคนละหมาดแล้ว แต่ยังไม่เรียกว่า เขาละหมาด การละหมาดจึง ต้องกระทำด้วยสมอง และหัวใจ มิใช่ด้วยเรือนร่าง หรือ การแสดงออกด้วยพฤติกรรม แต่เพียงอย่างเดียว
คุชัวะในละหมาด ผู้ที่ได้รับการตอบรับ
“ แน่นอนบรรดาผู้ศรัทธาได้ประ สบความสำเร็จแล้ว บรรดาผู้ที่พวกเขาเป็นผู้นอบน้อมถ่อมตน(คูชัวะ)ในเวลาละหมาดของพวกเขา ” (23 : 1-2 Al-Mu'minūn)
“ ดังนั้น ความหายนะจงมีแด่บรรดาผู้ทำละหมาด ผู้ที่พวกเขาละเลยต่อการละหมาดของพวกเขา ”(107 : 4-5 Al-Mā`ūn)
ท่านนบี ซล. กล่าวว่า :
“ แท้จริงอัลลอจะไม่ตอบรับคำวิงวอนของผู้ที่หัวใจของเขาไม่ได้ตระหนักถึงสิ่งที่จะถูกถาม และผู้ที่ลืม ” (รายงานโดยอะหมัด และอัตตีรมีซี)
“ ไม่มีมุสลิมคนใดเมื่อเขาได้ละหมาด โดยที่เขาได้อาบน้ำละหมาดอย่างดี ละหมาดคุชูอฺอย่างดี และรุกูอฺอย่างดี นอกจากเขาจะได้รับการไถ่ถอน (อภัย) จากความผิดต่างๆ ที่เขาได้กระทำก่อนหน้านั้นตราบใดที่เขาไม่ได้กระทำบาปใหญ่ และ (การอภัยนี้) เป็นเวลาที่ชั่วนิรันดร์ ” (เศาะฮีหฺ มุสลิม)
“ คนๆ หนึ่งได้เสร็จสิ้นจากการละหมาดของเขา ในขณะที่เขาไม่ได้ถูกบันทึกความดีงาม นอกจากเพียงหนึ่งส่วนสิบของละหมาด หรือ หนึ่งส่วนเก้า หนึ่งส่วนแปด หนึ่งส่วนเจ็ด หนึ่งส่วนหก หนึ่งส่วนห้า หนึ่งส่วนสี่ หนึ่งส่วนสาม หรือครึ่งหนึ่งของมันเท่านั้น ” (สุนันอบู ดาวูด)
“ อัลลอฮฺจะยังคงหันไปยังบ่าวของพระองค์ในละหมาดของเขา ตราบใดที่เขาไม่หันหน้าไปทางอื่น เมื่อเขาผันหน้าไปทางอื่น อัลลอฮฺก็จะหันไปจากเขา ” (มุสนัด อิมามอะหฺมัด)
“ เมื่อท่านยืนขึ้นเพื่อที่จะละหมาด ท่านจงละหมาดเสมือนเป็นการละหมาดอำลา (ละหมาดครั้งสุดท้าย) ” (มุสนัดอิมาม อะหฺมัด)
ท่านนบี ซล. ได้กล่าวในละหมาดความว่า :
“ (โอ้อัลลอฮฺ ฉัน) ได้นอบน้อมต่อพระองค์แล้ว ซึ่งการได้ยินของฉัน การมองเห็นของฉัน สมองของฉัน กระดูกของฉัน และเส้นประสาทของฉัน ” (เศาะฮีหฺ มุสลิม)
" เมื่อคนใดในหมู่ท่านยืนละหมาดโดยหันเข้าหาสิ่งกั้น เขาก็จงขยับเข้าไปใกล้สิ่งนั้นให้มากที่สุด เพื่อที่ชัยฏอนจะได้ไม่สามารถทำลาย สมาธิของเขาในการละหมาด " (บันทึกโดยอะหฺมัด)
“ ไม่มีการละหมาด ขณะที่อาหารถูกยกมาเพื่อรับประทาน และไม่มีการละหมาด ในขณะที่เขากลั้นสิ่งไม่ดีทั้งสอง (กลั้นปัสสาวะและอุจจาระ) ” (เศาะฮีหฺ มุสลิม)
“ พวกท่านจงเอาเสื้อลายตัวนี้ ไปให้กับอบู ญะฮฺมิน บิน หุซัยฟะฮฺ แล้วนำเสื้อที่ไม่มีลวดลายมาให้ฉัน เพราะมันทำให้ฉันเสียสมาธิ ในขณะที่ฉันละหมาดเมื่อครู่นี้ ” (เศาะฮีหฺ อัล-บุคอรีย์และมุสลิม)
อับดุลลอฮฺ บิน อัช-ชิคคีรฺ กล่าวว่า:
“ ฉันได้เห็นท่านนบี ซล. ละหมาดโดยที่อกของท่าน มีเสียงสะอื้นเหมือนเสียงโม่ (แป้ง) อันเนื่องจากการร้องไห้ ” (สุนันอบูดาวูด)
ท่านอิบนุก็อยยิม ได้กล่าวว่า :
“ การละหมาดที่ไม่มีความคุชูอฺและไม่มีสมาธิ เสมือนร่างกายที่ตายไร้วิญญาณ บ่าวไม่ละอายดอกหรือที่จะให้ของกำนัลแก่มัคลูกด้วยกัน เป็นทาสหรือทาสีที่ตายแล้ว? แล้วเขาจะคิดอย่างไรหากผู้ที่จะให้(ของกำนัล)เป็นคนระดับกษัตริย์ ผู้ปกครองหรืออื่นๆ เช่นเดียวกันกับการละหมาดที่ปราศจากการคุชูอฺ การรู้สึกตัวและการตั้งใจกับอัลลอฮฺ เสมือนดังทาสหรือทาสีที่ตายแล้วที่เราต้องการมอบเป็นของกำนัลให้กับกษัตริย์ ด้วยเหตุนี้อัลลอฮฺ ตะอาลาจึงไม่ตอบรับละหมาดนั้น ถึงแม้ว่ามันอาจทำให้วาญิบหมดไปในบทบัญญัติของโลกนี้ โดยไม่มีผลบุญใดๆ จากการปฏิบัติ ดังนั้นบ่าวจะไม่ได้อะไรจากละหมาดยกเว้นเท่าที่เขามีสมาธิ(คูชูอฺ)เท่านั้น ”
ที่มา: www.kurusampan.com, www.islammore.com