บางคนจึงตั้งคำถามว่า มุสลิมไม่เคารพรูปปั้นแต่ทำไมดันกราบหินดำ? ในขณะที่บางคนถามว่าทำไมต้องกราบกะบะฮฺ? แต่จริงๆ แล้วมันคนละอันกัน
ทำไมมุสลิมต้องกราบกะบะฮฺ?
ชาวต่างศาสนิกเองมีความสับสนก่อนที่จะถามคำถามนี้ ในเรื่องของหินดำกับกะบะฮฺ เพราะเขาได้ยินทั้งคำว่า ‘‘หินดำ’’ ได้ยินทั้งคำว่า ‘‘กะบะฮฺ’’ แล้วก็คิดว่ามันเป็นอันเดียวกัน
ดังนั้น บางคนจึงตั้งคำถามว่า มุสลิมไม่เคารพรูปปั้นแต่ทำไมดันกราบหินดำ? ในขณะที่บางคนถามว่าทำไมต้องกราบกะบะฮฺ? แต่จริงๆ แล้วมันคนละอันกันครับ
กะบะฮ์ นั้นเป็นอาคารที่สร้างโดยมะลาอิกะฮฺ (ทูตสวรรค์หรือที่ชาวคริสต์เรียกว่า Angle) ซึ่งสร้างตามพระบัญชาของพระเจ้าที่ต้องการให้มี ‘‘บ้านแห่งพระเจ้า’’(บัยตุลลอฮฺ) เพื่อไว้ให้มนุษย์รำลึกถึงพระองค์ ซึ่งมีมาตั้งแต่ยุคนบีอาดัมมนุษย์คนแรกของโลก และพังไปในยุคที่น้ำท่วมโลก หลังจากนั้นก็ได้ถูกสร้างใหม่โดยนบีอิบรอฮีม(อับราฮัม)
เนื่องจากมุสลิมนั้นจะไม่ปั้นรูปใดๆขึ้นมาเป็นตัวแทนของพระเจ้า อาคารหลังนี้จึงเป็นสถานที่ที่ไว้เพื่อรำลึกถึงพระเจ้า ไม่ใช่สิ่งที่มุสลิมกราบไหว้บูชาแต่อย่างใด
อาคารกะบะฮฺนี้ได้ถูกตกแต่งประดับประดาเรื่อยมาในยุคของท่านนบีมุฮัมมัดและหลังจากที่ท่านเสียชีวิตไป (จนปัจจุบันเราเห็นมีผ้าสวยๆคลุมอยู่)
และสำหรับเหตุการณ์ที่นบีอิบรอฮีมสร้างบ้านแห่งพระเจ้าหลังนี้ก็ถูกเล่าไว้ในคัมภีร์ไบเบิ้ลเช่นกัน แต่ชาวคริสต์โดยมากไม่รู้ว่าเป็นอาคารกะบะฮฺหลังนี้ ...จากที่กล่าวมานี้เราคงทราบกันแล้วว่ากะบะฮฺนั้นเป็นแค่อาคาร จึงตัดประเด็นออกไปได้เลยว่ามุสลิมจะกราบกะบะฮฺนี้ เพียงแต่จากภาพที่เห็นมุสลิมนมาซนั้นจะมีการก้มกราบไปในทิศทางของกะบะฮฺและหินดำ
หินดำนั้นวางอยู่ที่มุมหนึ่งของอาคารกะบะฮฺ และมันก็ไม่ใช่สิ่งที่มุสลิมกำลังกราบอยู่ เพียงแต่ตำแหน่งมันอยู่บนจุดที่มุสลิมหันหน้าก้มกราบไปทางนั้น แล้วจุดนั้นมันคืออะไร? ...มันก็คือจุดที่พระผู้เป็นเจ้ากำหนดให้เป็นทิศทางในการผินหน้าสำหรับมุสลิมในขณะนมาซหรือขอวิงวอน
ในเมื่ออิสลามห้ามสร้างวัตถุขึ้นมากราบไหว้แทนพระเจ้า ดังนั้นพระเจ้าจึงให้มุสลิมผินหน้าไปทางจุดที่กำหนดขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นการกราบหรือการนมาซ หรือการขอวิงวอน ซึ่งเราเรียกว่าทิศ ‘‘กิบลัต’’ และจุดๆนั้นเองเมื่อลองการแผนที่ดูแล้วก็จะพบว่ามันช่างเหมาะสมเหลือเกินที่จะเรียกว่า จุดศูนย์กลางของโลก ดังนั้นไม่ว่ามุสลิมจะอยู่ในส่วนใดของโลกก็ตาม เวลานมาซเขาก็จะหันหน้าไปยังจุดนี้แหละครับ
หินดำไม่มีอำนาจศักดิ์สิทธิ์แต่ประการใด แต่เผอิญตัวหินดำมันดูดีความพิเศษกว่าหินทั่วไปตรงความประหลาด และ ความเก่าแก่ของมันซึ่งท่านนบีเล่าว่าเป็นหินที่มาจากสวรรค์ (ในบันทึกของอิมามติรมีซีย์และอิมาม อิบนุ คุซัยมะฮฺ) และในบันทึกของอิมามติรมีซีย์ (นักบันทึกหะดีษท่านหนึ่ง)
ยังมีหะดีษที่ท่านนบีได้เล่าว่า หินดำนั้นเดิมทีเป็นสีขาวซึ่งขาวกว่าน้ำนมและเปลี่ยนเป็นสีดำเพราะความผิดบาปของลูกหลานอาดัม (คือมนุษย์ทั้งหลาย) แต่หินดำก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่มุสลิมเคารพบูชาแต่อย่างใด ซึ่งมุสลิมเองก็ห้ามไปมีความเชื่อว่าหินดำนั้นมีความขลังหรือมีอำนาจศักดิ์สิทธิ์
การจูบหินดำเป็นสิ่งที่มุสลิมนิยมกระทำเพื่อเป็นการรำลึกถึงท่านนบีว่าหินดำนี้ท่านนบีเคยจูบนะ ท่านอุมัร(สาวกคนหนึ่งของนบีมุฮัมมัด) ได้พูดว่า ‘‘โอ้หินดำเอ๋ย ฉันรู้ว่าแกคือหินธรรมดา ไม่ให้โทษและไม่ให้คุณ ถ้าท่านศาสนทูต(นบีมุฮัมมัด)ไม่จูบฉันก็จะไม่จูบแกเลย’’ (บันทึกของอิมามบุคอรีย์และอิมามมุสลิม)
นอกจากนั้นแล้ว ยังมีประวัติว่าท่านนบีเคยใช้ให้ท่านบิลาล(สาวกคนหนึ่ง) ขึ้นไปยืนอาซาน (ขับร้องประกาศเชิญชวนคนมานมาซ) บนอาคารกะบะฮฺ นั่นหมายความว่าทั้งกะบะฮฺและหินดำไม่ใช่สิ่งที่มุสลิมเคารพบูชาครับ เพราะไม่มีวัตถุใดหรอกนะ ที่คนซึ่งเคารพบูชาจะกล้าขึ้นไปยืนเหยียบ