ตามข้อเท็จจริง คือ มนุษย์ทุกคนต้องเป็นคนสองโลก ส่วนสำหรับมุสลิมมีความเชื่ออยู่แล้วว่าตนเองเป็นคนสองโลก คำว่า "คนสองโลก" หมายถึง โลกดุนยากับโลกอาคิเราะฮฺเท่านั้น
มุสลิมเป็นคนสองโลก
ตามข้อเท็จจริง คือ มนุษย์ทุกคนต้องเป็นคนสองโลก ส่วนสำหรับมุสลิมมีความเชื่ออยู่แล้วว่าตนเองเป็นคนสองโลก คำว่า "คนสองโลก" หมายถึง โลกดุนยากับโลกอาคิเราะฮฺเท่านั้น มุสลิมไม่มีโลกแห่งการเวียนว่ายตายเกิด หรือไม่ใช่มีเพียงโลกนี้โลกเดียว แต่มีโลกดุนยากับโลกอาคิเราะฮฺ มุสลิมต้องใช้ชีวิตอยู่ในโลกดุนยากับโลกอาคิเราะฮฺ ดังนั้นโลกดุนยากับโลกอาคิเราะฮฺจึงมีความสัมพันธ์กันอย่างแน่นแฟ้น ไม่สามารถแยกตัดขาดจากกันได้เลย เพราะโลกดุนยาเป็นโลกแห่งการปฏิบัติ ส่วนโลกอาคิเราะฮฺเป็นโลกแห่งการตอบแทน
อัลหะดีษในบันทึกของอิมามอัลบุคอรีย์ รายงานจากท่านอับดุลลอฮฺ อิบนุ อุมัร เราะฏิยัลลอฮฺอันฮุมาเล่าว่า
ครั้งหนึ่ง ท่านเราะซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จับไหล่ของฉันแล้วกล่าวว่า
ความว่า: "จง (ใช้ชีวิต) อยู่ในโลกดุนยานี้ เสมือนกับว่าท่านเป็นคนแปลกหน้าหรือคนเดินทางเถิด"
นักวิชาการอิสลามอธิบายว่า ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม สอนเราว่า ในการดำเนินชีวิตประจำวันของเรานั้น เราอย่ายึดเอาโลกดุนยานี้เป็นที่อยู่ถาวร คืออย่าไปใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ตามที่ใจเราปรารถนาต้องการ โดยไม่สนใจขอบเขตของบทบัญญัติศาสนา เราอย่าใช้ชีวิตโดยไม่ได้คำนึงถึงผลที่เราจะได้รับในโลกอาคิเราะฮฺ
แต่ท่านนบีให้เราถือโลกดุนยานี้เป็นเพียงทางผ่าน เพื่อไปสู่โลกอาคิเราะฮฺ เสมือนกับคนที่เขาได้เดินทางออกจากบ้านออกจากที่พำนักที่นอนของเขา เพื่อออกไปทำธุระปะปัง หรือไปทำมาหากินยังเมืองไกล ๆ หรือไปศึกษาหาความรู้ยังต่างแดน เมื่อเวลาที่เขาเดินทางไปที่เมืองใด เขาก็เป็นคนแปลกหน้าของที่นั่น และไม่มีความรู้สึกที่อยากจะอยู่ที่เมืองนั้นอย่างถาวร หัวใจของเขาจึงไม่ได้ติดใจอะไรในเมืองนั้น เพราะหัวใจของเขาก็ต้องมุ่งที่อยากจะกลับบ้านของตนเองที่เป็นที่อยู่ที่แน่นอน
นั่นก็หมายความว่า เมื่อเราเกิดมา เราก็แค่มาแวะใช้ชีวิตชั่วคราวในโลกดุนยา แต่จุดหมายปลายทางที่เราจะไปอยู่ จะไปพำนักอย่างถาวร ก็คือโลกอาคิเราะฮฺ ...ชีวิตในโลกดุนยาจึงเป็นเพียงทางผ่านเพื่อไปสู่โลกอาคิเราะฮฺ
ซึ่งเป็นโลกที่ถาวร ...นักวิชาการอิสลามจึงได้บอกว่า โลกดุนยาเป็นโลกแห่งการทดสอบ เป็นโลกแห่งการทำอะมัลศอลิหฺ ทำอิบาดะฮฺสะสมการงานที่เป็นความดีความงาม เป็นโลกชั่วคราวที่สักวันต้องดับสูญไป สูญสลายไป ในขณะที่โลกอาคิเราะฮฺเป็นโลกแห่งการตอบแทนสิ่งที่เราได้ทำไว้ ได้ประพฤติไว้ ได้ปฏิบัติไว้ในโลกดุนยา เมื่อได้รับการตอบแทนอย่างไรแล้ว ผลของการตอบแทนนั้น ก็คือสิ่งที่เราต้องอยู่กับมันไปตลอดกาลตลอดไป ไม่มีวันดับสูญอีกเลย
เรื่องของโลกอาคิเราะฮฺจึงเป็นเรื่องที่เราต้องตระหนัก ต้องเอาใจใส่ ต้องให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะสุดท้ายแล้วทุก ๆ คนจะมีที่อยู่ ที่พำนักประจำที่ของตนเอง นั่นก็คือ ใครที่ได้เป็นชาวสวรรค์ เขาก็จะได้ที่พำนักในสวรรค์ตลอดกาล... ใครที่เป็นชาวนรกที่เป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา เป็นมุชริกีน เป็นมุนาฟิกีนเขาก็จะได้ที่พำนักอยู่ในนรกตลอดกาลเช่นกัน
ดังนั้น เมื่อเรากล่าวว่าเราศรัทธาต่อโลกอาคิเราะฮฺนั่นหมายถึงว่า เราต้องยอมรับ ต้องเชื่อมั่น ต้องศรัทธาในทุก ๆเรื่องของใลกอาคิเราะฮฺตามที่อัลกุรอานและอัลหะดีษที่มีหลักฐานที่ถูกต้องและน่าเชื่อถือได้ ได้ระบุไว้ จะปฏิเสธเรื่องหนึ่งเรื่องใดไม่ได้เลย เพราะการปฏิเสธแม้เพียงเรื่องเดียวของหลักการศรัทธาข้อนี้ ก็ถือเป็นการปฏิเสธหลักการศรัทธาในเรื่องนี้ทั้งหมด และทำให้เขามีสถานะอยู่ในมุรตัด หลุดออกจากการเป็นมุสลิม และจุดจบของเขาก็คือที่พำนักในนรกตลอดกาล
การศรัทธาในโลกอาคิเราะฮฺนี้จะประมวลไว้ด้วย 3 ประการ ตามที่นักวิชาการอิสลามได้ประมวลไว้จากอัลกุรอานและอัลหะดีษ ซึ่งเป็นเรื่องที่เราต้องยืดมั่นเชื่อมั่นทั้งหมด คือ
ประการที่หนึ่ง คือ การศรัทธาต่อวันฟื้นคืนชีพ เชื่อมั่นศรัทธาว่าการฟื้นคืนชีพเป็นเรื่องจริง และจะเกิดขึ้นจริง
ประการที่สอง คือ การศรัทธาต่อการถูกสอบสวนและผลตอบแทนที่จะได้รับ ..เมื่อฟื้นคืนชีพแล้วก็จะถูกสอบสวนในทุก ๆ เรื่องที่ได้ประพฤติปฏิบัติไว้ในโลกดุนยาเมื่อสอบสวนแล้ว ก็จะได้รับการตอบแทน จะเป็นรางวัลหรือจะเป็นการลงโทษ ก็ขึ้นอยู่กับผลของการสอบสวนนั้น
ประการที่สาม คือ การศรัทธาในเรื่องของสวรรค์และนรก และเชื่อว่าเป็นที่อยู่ที่พำนักตลอดกาล ....สุขก็สุขอยู่ในสวรรค์ตลอดกาล .....ทุกข์ก็ทุกข์สาหัสสากรรจ์ในนรกตลอดไป
เมื่อเรามีความเชื่อ มีความศรัทธาในทั้ง 3 ประการนี้แล้ว ผลที่ตามมาคือ เราก็จะศรัทธาต่อชีวิตหลังความตาย ศรัทธาต่อทุก ๆ เรื่องที่จะเกิดขึ้นหลังการตายของเรา ตามที่อัลกุรอานและอัลหะดีษที่มีหลักฐานที่ถูกต้องและน่าเชื่อถือได้ ได้ระบุไว้
ดังนั้น โลกอาคิเราะฮฺจึงเป็นโลกที่ประมวลไว้ด้วยโลกหลังความตาย หรือชีวิตหลังความตาย ซึ่งนักวิชาการอิสลามจะแบ่งโลกอาคิเราะฮฺเป็น 2 ภาค ก็คือ อาคิเราะฮฺเล็ก กับ อาคิเราะฮฺใหญ่
ภาคแรก คือ อาคิเราะฮฺเล็ก ก็คือช่วงหลังจากที่เราตายไปจนถูกฝังอยู่ในกุบูร หรือในหลุมฝังศพ อยู่ไปจนถึงวันฟื้นคืนชีพ เป็นช่วงที่เรียกว่า อะลัมบัรซัค ซึ่งเป็นโลกที่คั่นกลางระหว่างโลกดุนยากับโลกอาคิเราะฮฺใหญ่
ส่วนภาคที่สอง คือ อาคิเราะฮฺใหญ่ ก็คือช่วงที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงอนุมัติให้เกิดวันกิยามะฮฺขึ้น ถึงกาลอวสานของโลกดุนยา และให้มนุษย์ทุกคนฟื้นคืนชีพขึ้นมาจากกุบูร ผ่านกระบวนการพิจารณาสอบสวนจนกระทั่งไปพำนักในสวรรค์ตลอดกาล หรือตกนรกตลอดกาลไม่มีวันหวนกลับคืนมายังโลกดุนยาอีกแล้ว
จากหนังสือ สืบสานความรู้ในเรื่องราวของอัลอิสลาม เล่ม 3 / เรื่องราวที่เราต้องเผชิญในโลกอาคิเราะฮฺ ภาค อาคิเราะฮฺเล็ก /มุสลิมไทยโพสต์
http://islamhouse.muslimthaipost.com/article/23624
- เกิดโรคระบาดและผู้คนล้มตายเหมือนใบไม้ร่วง หนึ่งในสัญญาณเตือนวันสิ้นโลก
- โลกหมุนเร็วผิดปกติ ดุลยามันแก่แล้ว ใกล้วันกิยามะห์
- สัญญาที่อัลลอฮ์จะให้กับผู้ที่รักษาละหมาด 5 เวลา
- 3 คำถาม ในกุโบร์ ที่ทุกคนต้องโดนสอบสวน
- คําทํานายวันสิ้นโลก อิสลาม วันสิ้นโลก ฟ้าถล่ม แผ่นดินทลาย สัญญาณวันสิ้นโลกของอิสลาม
- ใครคือบุคคลที่อัลลอฮ์จะไม่มองในวันกิยามะห์