ตามหลักการอิสลาม เมื่อพระเจ้าสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายขึ้นมาแล้ว พระองค์มิได้ปล่อยให้สิ่งที่พระองค์ทรงสร้างมาดำเนินไปตามยถากรรม แต่พระองค์ได้ทรงทำให้ทุกสรรพสิ่งที่สร้างมามีความสมบูรณ์
นบีมูฮัมมัดในคัมภีย์พระเวทย์ ของศาสนาฮินดู
บทความโดย : อ.บรรจง บินกาซัน
ตามหลักการอิสลาม เมื่อพระเจ้าสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายขึ้นมาแล้ว พระองค์มิได้ปล่อยให้สิ่งที่พระองค์ทรงสร้างมาดำเนินไปตามยถากรรม แต่พระองค์ได้ทรงทำให้ทุกสรรพสิ่งที่สร้างมามีความสมบูรณ์
หลังจากนั้นพระองค์ก็ทรงจัดระเบียบและทรงนำทางให้ทุกสิ่งดำเนินไปตามกฎระเบียบที่พระองค์ทรงกำหนดไว้ตามพระประสงค์ของพระองค์
มนุษย์ก็เป็นสิ่งถูกสร้างอย่างหนึ่งเช่นกัน เมื่อพระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมาแล้ว พระองค์มิได้ทรงปล่อยให้มนุษย์ดำเนินชีวิตไปตามยถากรรม
โดยไร้ทางนำในการดำเนินชีวิต ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงได้ทรงแต่งตั้งมนุษย์บางคนที่พระองค์ได้ทรงคัดเลือกไว้ให้ทำหน้าที่ “นบี” (หรือที่ภาษาไทยเรียกว่า ศาสดา) มาเป็นผู้สอนแนวทางในการดำเนินชีวิตแก่มนุษย์ทุกหมู่เหล่าในทุกสมัยนับตั้งแต่มีมนุษย์คนแรกบนโลกนี้
จากหะดิษ (คำบอกกล่าว) ของท่านนบีมุฮัมมัดเอง ทำให้เราได้ทราบว่าตลอดระยะเวลาประวัติศาสตร์มนุษยชาติที่ผ่านมาก่อนหน้าท่านมีนบีจำนวน 124000 คนเกิดขึ้นบนโลกนี้ โดยที่ศาสดามุฮัมมัดเป็นศาสดาคนสุดท้าย ในจำนวนศาสดาเหล่านี้ มี 25 ท่านถูกกล่าวชื่อไว้อย่างชัดเจนในคัมภีร์อัลกุรอาน ซึ่งในจำนวนนี้ก็มีกล่าวไว้ในคัมภีร์ไบเบิลด้วยเช่นกัน แน่นอน เมื่อศาสดาได้ถูกส่งไปตักเตือนหรือสั่งสอนผู้คนในท้องถิ่นต่างๆ พระเจ้าจึงได้ประทานคำสอนแก่นบีตามภาษาของคนในท้องถิ่นที่ท่านต้องปฏิบัตหน้าที่ ดังนั้น จึงไม่จำเป็นที่ศาสดาจะต้องพูดภาษาเดียวกันด้วย เช่น พระเจ้าในภาษาของชาวฮิบรูถูกเรียกว่า”ยะโฮวา” ในขณะที่ชาวอาหรับเรียกว่า”อัลลอฮฺ” แต่สิ่งที่ทำให้รู้ว่าพระเจ้าเป็นอย่างไรนั้นอยู่ที่
คำอธิบายคุณลักษณะของพระองค์ เช่น คัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า”พระเจ้าของเจ้าคือพระเจ้าองค์เดียว” คัมภีร์กุรอานกล่าวว่า”อัลลอฮฺทรงเป็นหนึ่ง”ส่วนคัมภีร์พระเวทก็บอกว่า”พระเจ้าเป็นหนึ่งไม่มีที่สอง”
อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุผลของกาลเวลา ต้นฉบับของคัมภีร์ต่างๆได้สูญหายไปและคัมภีร์ที่ถูกรวบรวมและเรียบเรียงขึ้นมาใหม่ได้ถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไขหรือไม่ก็เพิ่มเติมเข้าไปจนทำให้คำสอนดั้งเดิมอันบริสุทธิ์ถูกปะปนแปดเปื้อนไปด้วยของใหม่ ด้วยเหตุนี้พระผู้เป็นเจ้าจึงได้ประทานคัมภีร์อัลกุรอานมาเพื่อเป็นสิ่งแยกแยะและกลั่นกรองสิ่งที่อยู่ในคัมภีร์โบราณ สิ่งใดที่ศาสดาก่อนหน้านี้ได้พูดไว้และไม่ขัดต่อคัมภีร์กุรอาน มุสลิมจะต้องยอมรับในฐานะที่เป็นหลักศรัทธาที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่ถ้าขัดกับคัมภีร์กุรอาน มุสลิมก็จะบอกปัดและปฏิเสธ
เป็นเรื่องแปลกที่ชื่อของศาสดามุฮัมมัดได้ถูกกล่าวในคัมภีร์โบราณทางศาสนาหลายเล่มด้วยกัน แท้แต่คัมภีร์พระเวทซึ่งเป็นคัมภีร์ทางศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดในโลกและคนทั่วไปคิดว่าเป็นคัมภีร์ที่พวกพราหมณ์ใช้อ่านบูชาเทพเจ้า ก็มีการกล่าวถึงศาสดามุฮัมมัดไว้
คัมภีร์พระเวท และปุราณะ
คัมภีร์พระเวทเป็นคัมภีร์ทางศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดที่มนุษย์มีอยู่ในปัจจุบัน ภาษาเดิมของคัมภีร์พระเวทเป็นภาษาสันสกฤตซึ่งนักนิรุกติศาสตร์หรือนักศึกษาต้นกำเนิดของภาษากล่าวว่าเป็นภาษาที่มาจากทางตอนใต้ของรัสเซียเพราะมีหลายคำที่สอดคล้องหรือบางคำก็ออกเสียงเหมือนชื่อเมืองบางเมืองในรัสเซีย
นักวิชาการด้านภาษาโบราณระบุว่า คัมภีร์พระเวทมิได้เป็นของชาวอินเดีย แต่เป็นของชนชาติอารยัน ไม่มีใครอ้างว่าผู้ใดเป็นผู้เขียนคัมภีร์พระเวทขึ้นมาแต่คัมภีร์พระเวทเกิดขึ้นจากการรวบรวมสิ่งที่”ใครบางคนได้ยินมา” ดังนั้น คัมภีร์พระเวทจึงได้ชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า”ศรุติ” ซึ่งหมายถึง”สิ่งที่ได้ยินมา” และได้ถูกถ่ายทอดกันมาโดยความจหลังจากนั้นก็ถูกบันทึกรวบรวมไว้เป็นรูปเล่มเช่นเดียวกับคัมภีร์โบราณอื่นๆ
“เวท”แปลว่า ความรู้ เชื่อกันว่าคัมภีร์พระเวทเป็นคำสอนของพระผู้เป็นเจ้าที่ทรงประทานแก่ใครบางคนให้มาสั่งสอนนุษย์ในยุคโบราณ
คัมภีร์พระเวท แบ่งออกเป็น 4 คัมภีร์ด้วยกัน คือ
1.คัมภีร์ฤคเวท เป็นคัมภีร์ที่เก่าแก่ที่สุดและเป็นคัมภีร์แห่งความรู้ในบทสวดสรรเสริญพระเจ้า
2.คัมภีร์ยชุรเวท เป็นคัมภีร์ที่รวบรวมบทร้อยกรองใช้สาธยายในพิธีบูขายัญในศาสนา
3.คัมภีร์สามเวท เป็นคัมภีรืที่รวบรวมบทสวดมนต์สำหรับพิธีกรรมต่างๆของประชาชนโดยทั่วไป
4.คัมภีร์อาถรรพเวท เป็นคัมภีร์แห่งมนต์คาถา การทำพิธีแก้เคล็ดลับ แก้อาถรรพ์ไสยศาสตร์ต่างๆ (คัมภีร์เล่มนี้เกิดหลังพุทธศาสนา)
นอกจากนี้แล้ว คัมภีร์พระเวทยังมีสาระสำคัญเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตของชาวฮินดูตั้งแต่เกิดจนตายและการจัดระเบียบสังคมในเวลานั้นอีกด้วยส่วนคัมภีร์ปุราณะ คือคัมภีร์โบราณที่ได้รับการบอกเล่าสืบทอดต่อกันมา (คำว่า ปุราณะ หมายถึง โบราณ) ถือเป็นคัมภีร์ที่มีความสำคัญลำดับสองรองลงมาจากคัมภีร์พระเวท คล้ายๆกับหะดิษ (หรือคำพูด/คำบอกเล่าของศาสดามุฮัมมัด)ในทำนองนั้น
คัมภีร์พระเวทกับหลักความเชื่อในพระเจ้าองค์เดียว
พฤติกรรมและการปฏิบัติของพราหมณ์ที่เป็นอยู่ในอินเดียและที่เราเห็นอยู่ในประเทศไทยไม่สามารถที่จะเป็นตัวแทนคำสอนของคัมภีร์พระเวทได้ เพราะโดยแก่นสารแล้ว คัมภีร์พระเวทมีหลักคำสอนการนับถือพระเจ้าองค์เดียวปรากฏอยู่อย่างชัดเจนและเกือบจะเหมือนกับคำสอนที่มีอยู่ในคัมภีร์กุรอานดังที่จะได้เห็นต่อไปนี้
ในคัมภีร์พระเวท ภาคอุปนิษัทได้มีการกล่าวไว้ว่า :
“พระเจ้าองค์เดียว ไม่มีผู้ใดที่สมควรได้รับการเคารพกราบไหว้นอกจากพระองค์ โลกนี้ไม่มีอะไรหากปราศจากพระองค์ กล่าวคือ มันยังอยู่ตราบใดที่พระองค์ทรงรักษามันไว้ โลกไม่สามารถดำรงอยู่ชั่วขณะโดยการปฏิเสธพระองค์”
ในคัมภีร์ฤคเวท (1:189:1) ได้มีการกล่าวว่า : “โอ้พระเจ้าแห่งจักรวาลผู้เปิดเผยพระองค์เอง โปรดนำเราสู่หนทางที่ดีงาม”
ในคัมภีร์พระเวท ภาคเคนอุปนิษัท (1:3) กล่าวว่า :“ผู้ที่ไม่มีดวงตาใดสามารถมองเห็นได้ ในทางตรงข้าม พระองค์ทรงเห็นทุกสายตา รู้ว่าพระองค์คือพระเวท”
ในคัมภีร์พระเวท ภาคเศตาศวตารอุปนิษัท (บทที่6 มันตระ 11) กล่าวว่า : “พระผู้เป็นเจ้าแห่งจักรวาลเป็นพระเจ้าองค์เดียว พระองค์คือวิญญาณของสิ่งมีชีวิตทุกสิ่ง พระองค์ทรงมีอยู่ทั่วไปในทุกรูปแบบของชีวิต พระองค์ทรงกำหนดการกระทำทุกอย่าง พระองค์ทรงอยู่เหนือสิ่งทั้หลาย พระองค์ทรงเป็นที่พึ่งพิงของทุกคน พระองค์ทรงเห็นทุกสรรพสิ่ง ทรงรู้ถึงสรรพสิ่ง ไม่มีฉายาใดที่จะนำมาใช้กับพระองค์ได้”
ที่กล่าวมานี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของคำสอนในคัมภีร์พระเวทซึ่งผู้ศรัทธาในพระเจ้าที่แท้จริงไม่สามารถปฏิเสธได้แต่น่าทึ่งไปกว่านั้นก็คือ คัมภีร์พระเวทได้พูดถึงศาสดามุฮัมมัด(ขอความสันติจงมีแด่ท่าน) ไว้อย่างที่เราไม่อาจเลียงตีความไปเป็นคนอื่นได้เช่นกัน
คัมภีร์พระเวทและคัมภีร์ปุราณะพูดถึงท่านศาสดามุฮัมมัดด้วยคำพูดต่างๆในภาษาสันสกฤตเอง ดังนี้คือ นรศังสะ อันติมฤาษี กัลกีอวตาร และพูดถึงท่านในภาษาที่ไม่ใช่ภาษาสันสกฤตอีกหนึ่งคำ คือ มะมหะ
นรศังสะ = ผู้ทีได้รับการสรรเสริญ = มุฮัมมัด
ในคัมภีร์ฤคเวท ในคัมภีร์สามเวท ในตระที่ 1349 คัมภีร์ยชุรเวทขาวและยชุรเวทดำ ได้มีการเอ่ยถึงการมาปรากฏของบุคคลผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งซึ่งมีชื่อว่า “นรศังสะ” โดยภาษาแล้ว นักวิชาการด้านภาษาสันสกฤตกล่าวว่าคำนี้หมายถึง “ผู้ที่ได้รับการสรรรเสริญ” ซึ่งมีความหายตรงกับคำว่า “มุฮัมมัด” ในภาษาอาหรับ ดังนั้น เพื่อเป็นการหาหลักฐานเพื่อชี้ชัดลงไปว่า คนผู้นี้เป็นใครกันแน่ จึงได้มีการค้นหาลักษณะของบุคคลผู้นี้ ซึ่งมีกล่าวไว้ในคัมภีร์พระเวทและได้พบรายละเอียดลักษณะของนรศังสะ ซึ่งจะขอนำเพียงบางส่วนมากล่าวดังนี้:-
-เขาขี่ อูฐเป็นพาหนะ (อาถรรพเวท 20:127:2)
-เขาจะมีภรรยา 12 คน
-พระเจ้าจะให้เกียรตินรศังสะด้วยพวงมาลัยเกียรติยศ 10 พะวง มาลัยเหล่านี้จะคล้องคอเขาเหมือนสร้อยคอ
-เขาจะได้รับของขวัญเป็นม้า 300 ตัว
-เขาจะได้รับของขวัญเป็นวัว 10000 ตัว
การศึกษาคำสอนของพวกพราหมณ์ทำให้รู้ว่าอูฐเป็นที่ต้องห้ามสำหรับพวกพราหมณ์ฮินดูตามกฎหมายมนูสมิตริ(11:201) แม้แต่นมและเนื้อของอูฐก็เป็นที่ต้องห้ามตามกฎหมายมนูสมิตริ ดังนั้น นรศังสะจึงไม่ใช่พวกพราหมณ์หรือคนในอินเดียอย่างแน่นอน เพราะอูฐจะมาอยู่ก็แต่ในทะเลทรายเท่านั้น
การศึกษาถึงชีวประวัติของศาสดาต่างๆ หลักจากนั้นมา ไม่พบว่าศาสดาคนใดมีภรรยา 12 คน นอกไปจากศาสดามุฮัมมัด
ส่วนคำอธิบายที่ว่า นรศังสะจะได้รับพวงมาลัย 10 พวง ม้า 300 ตัว และวัวอีก 10000 ตัวนั้น เป็นการใช้คำเปรียบเทียบ
คำว่าพวงมาลัยเป็นสิ่งที่ให้เพื่อแสดงถึงความใกล้ชิดสนิทสนมเป็นพิเศษ ชีวิตของท่านศาสดามุฮัมมัดเองก็มีสาวกที่ใกล้ชิด 10 คน ซึ่งในทั้งสิบคนนี้ภาษาอาหรับเรียกว่า “อะชะร่อ มุบัซวะร่อ” หรือสาวกสิบคนที่ได้รับการแจ้งข่าวดีล่วงหน้าว่าจะได้เข้าสวรรค์
ส่วนม้านั้นเป็นสัญลักษณ์ขอฝความห้าวหาญในการรบ ในสงครามบะดัรซึ่งเป็นสงครามครั้งแรกที่มุสลิมออกรบเพื่อป้องกันการรุกรานของศัตรูจำนวนประมาณหนึ่งพันคนจากมักก๊ะฮฺนั้น กำลังคนของท่านนบีมีประมาณ 300 คน ส่วนวัวนั้นเป็นคำเปรียบเทียบเพื่อหมายถึงคนที่เรียบง่ายและเชื่อฟังอย่างดี ในตอนปลายชีวิตจำนวนสาวกที่ยอรับคำสอนของท่านมีจำนวน 10000 คน และด้วยคนจำนวนนี้ที่ท่านนำไปยึดมักก๊ะฮฺกลับคืนมา
ศาสดามุฮัมมัดในฐานะกัลกิอวตาร
เมื่อเราได้ยินว่า “อวตาร” เรามักจะนึกถึงการแปลงร่างของเทพเจ้ามาเกิดในร่างของมนุษย์ตามจิตนาการในหนังอินเดีย โดยหารู้ไม่ว่าในความเป็นจริงแล้วมิได้เป็นเช่นนั้น คำว่า “อวตาร” มีความหมายว่า “มายังโลกนี้” คำว่า “อวตารของพระเจ้า” หมายถึง “การเกิดของมหาบุรุษผู้เผยแผ่สาส์นที่พระผู้เป็นเจ้าประทานแก่ท่านมายังโลก”
นักวิชาการภาษาสันสกฤตกล่าวว่า “อวตาร” เป็นคำที่มีความหมายเดียวกับ Prophet (ศาสดา) ในภาษาอังกฤษ และ “นบี” ในภาษาอาหรับ ดังนั้นในคัมภีร์พระเวท โลกนี้จึงมีหลายอวตารด้วยกัน แต่ในบรรดาอวตารทั้งหมดนั้นมีอวตารหนึ่งซึ่งคัมภีร์พระเวทใช้คำว่า “กัลกิอวตาร” หรือ อวตารสุดท้าย และกัลกิอวตารจะมาปรากฏเมื่อโลกอยู่ในสภาพดังต่อไปนี้
1.กิจกรรมที่มิใช่ศาสนามีมากมาย ทรัพย์สินของคนอื่นถูกปล้นชิง เด็กทารกหญิงถูกฝังทั้งเป็น
2.มีการเคารพสักการะสิ่งอื่นที่มิใช่พระเจ้า ถึงแม้พระเจ้าจะเป็นผู้มีอำนาจสูงสุด แต่ก็ยังถูกปฏิเสธ ผู้คนเสกสรรปั้นแต่งเทวรูปต่างๆขึ้นมาบูชา แม้กระทั่งหินแล้วต้นไม้ก็ยังเป็นสิ่งที่ไดรับการสักการะบูชา
3.คนของพระเจ้าถูกข่มเหงเข่นฆ่า คนดีต้องได้รับความทุกข์ยากลำบาก
4.คำบัญชาในคัมภีร์พระเวทไม่ได้รับการเชื่อฟังและผู้คนไม่เคารพคัมภีร์พระเวท เพื่อเป็นการชัดเจนขึ้นว่า กัลกิอวตารที่กล่าวว่าไว้ในคัมภีร์พระเวทและปุราณะเป็นใคร
นักวิชาการได้พยายามค้นหาลักษณธของกัลกิอวตารในคัมภีร์เหล่านั้นและได้พบคำบอกเล่าว่ากัลกิอวตารผู้นั้นจะมีลักษณะบางประการดังนี้
1.ในคัมภีร์ปุราณะได้กล่าวว่า กัลกิอวตารจะขี่ม้าพิเศษตัวหนึ่งซึ่งพระเจ้าได้ประทานให้และม้าตัวนี้มีความเร็วที่สุดจะจินตนาการ
2.ในภคพัตปุราณะ(122:19) กัลกิอวตารจัมีคุณสมบัติแปดประการ คือ ขี่ม้าเร็วที่ฑูตสวรรค์นำมาให้ มีดาบในมือ เป็นผู้ช่วยเหลือให้โลกรอดพ้นจากความชั่ว ในคัมภีร์กัลกิปุราณะ กัลกิอวตารกล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้า ด้วยพี่น้องทั้งสี่ที่ร่วมอยู่กับข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะทำลายความชั่วช้า”
3.ในคัมภีร์กัลกิปุราณะ (2:25) ระบุว่ากัลกิอวตารจะเกิดในวันที่ 12 ข้างขึ้นของเดือนมาธวะ
4.ในคัมภีร์กัลกิปุราณะ (2:24) ระบุว่ากัลกิอวตารจะเกิดในเมืองศัมภัล ในบ้านของหัวหน้านักบวช พ่อของท่านชื่อวิษณุยาษ แม่ของท่านชื่อสุมาตี (ภคพัต ปุราณะ 12:2:18)
5.ในคัมภีร์กัลกิปุราณะ (2:7) กล่าวว่ากัลกิอวตารจะได้รับความช่วยเหลือจากฑูตสวรรค์ในสนามรบ
ผู้เชี่ยวชาญในด้านคัมภีร์พระเวทได้พยายามศึกษาว่า “ศัมภัล” ซึ่งเป็นสถานที่เกิดของกัลกิอวตารนั้นเป็นชื่อเมืองหรือว่าคำคุณศัพท์ขยายชื่อสถานที่ เมื่อทำการศึกษาอย่างกว้างขวางแล้วพบว่า “ศัมภัล” มิใช่ชื่อเมือง ถ้าหาก “ศัมภัล” เป็นชื่อเมืองที่ตั้งอยู่ในอินเดีย ก็น่าจะมีศาสดาคนหนึ่งมาเกิดเมื่อ 1400 ปีที่แล้วในฐานะผู้ช่วยเหลือโลก ดังนั้นจึงได้มีการค้นหาความหมายของคำว่า “ศัมภัล” และพบว่าคำนี้มีหลายความหมายดังต่อไปนี้
1.หมายถึง “สถานที่ท่คนได้รับความสันติและความมั่นคงปลอดภัย”
2.อีกความหมายหนึ่งคือ “เป็นสิ่งที่ดึงดูดผู้คนเข้าไป”
3.ความหมายที่สามคือ “สถานที่แห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ใกล้น้ำ”
ความหมายทั้งสามข้างต้นก็เพียงพอแล้ว ที่จะทำให้คนมุสลิมพอจะคิดได้ว่านั่นคือสภาพที่ตั้งของบริเวณรอบก๊ะบะฮฺ เมืองมักกะฮฺเป็นที่รู้จักกันในภาษาอาหรับว่า “ดารุลอะมาน” (บ้านแห่งความมั่นคงปลอดภัยและสันติ)
ส่วนคำว่า “วิษณุยาษ” ซึ่งเป็นชื่อพ่อของกัลกิอวตารนั้นหมายถึงผู้เคารพระวิษณุหรือพระเจ้า ตรงกับความหมายในภาษาอาหรับว่า“อับดุลลอฮฺ” ซึ่งเป็นชื่อพ่อของท่านศาสดามุฮัมมัด ส่วนแม่ของท่านซึ่งมีชื่อว่า “สุมาตี” นั้น คำนี้มีความหมายว่า สุภาพอ่อนโยนและช่างคิดซึ่งตรงกับคำว่า “อะมีนะฮฺ” ชื่อแม่ของท่านศาสดามุฮัมมัด
“อหะมิทธิ” ได้รับแก่นแท้ของสติปัญญาจากพระบิดาของท่าน (นั่นคือพระเจ้าของท่าน) ฉันได้รับแสงสว่างจากเขาผู้ซึ่งเป็นเหมือนดวงตะวันประโยคดังกล่าวมีปรากฏอยู่ในคัมภีร์พระเวทถึงสี่แห่งด้วยกัน นั่นคือในคัมภีร์สามเวท (ตอนอินทรา บทที่3 มันตระ152)
ในคัมภีร์สามเวท(อุตราชิก มันตระ1500) ในคัมภีร์ฤคเวท(8:6:10) แลในคัมภีร์อาถรรพเวท(20:9:19)
แต่บรรดานักวิชาการได้แปลประโยคนี้โดยมีความหมายแตกต่างกันออกไปต่างๆนานา เพราะนักวิชาการเหล่านั้นไม่เข้าใจความหมายของคำว่า “อหะมิทธิ”
นอกจากนี้แล้วในคัมภีร์อาถรรพเวทยังปรากฏคำพยากรณ์ว่ามะมหะมหาบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่ได้ถูกสัญญาไว้จะได้รับวัวหนึ่งหมื่นตัว คำพยากรณ์นี้อยู่ในคัมภีร์อาถรรพเวท 20:9:31 ซึ่งกล่าวว่า “พระผู้เป็นเจ้าจะประทานเหรียญทองคำ 100 เหรียญ พวงมาลัย 10 พวง ม้า 300 ตัว และวัว 10000 ตัว แก่มะมหะฤาษี”
คำว่า “มะมหะ” ก็เป็นอีกคำหนึ่งซึ่งปเนคำต่างถิ่นในคัมภีร์พระเวท ดังนั้นคำนี้จึงไม่ใช่คำภาษาสันสกฤต แต่เพื่อที่จะหาความจริง ขอให้เรามาดูสิ่งบ่งชี้ว่าบุคคลผู้นี้เป็นใครจากสิ่งที่มีอยู่ในคัมภีร์พระเวทเอง
ก)มะมหะจะเป็นคนขี่อูฐจากแผ่นดินทะเลทราย (อาถรรพเวท 20:9:31)
ข)มะมหะจะเป็นผู้มีชื่อเสียงพร้อมกับสาวกอีก 10000 คน (ฤคเวท 5:271)
ค)ในยุคของมะมหะจะมีการใช้บทสรรเสริญใหม่ที่จะนำมาอ่านในระหว่างการประกอบพิธีศาสนาแทนคัมภีร์พระเวท (ฤคเวท 1:109:2)
ดังนั้น คำว่า มะมหะในที่นี้ก็คือมุฮัมมัดซึ่งอยู่มนรูปของภาษาสันสกฤตนั่นเอง
มีรายละเอียดอีกมากมายที่บ่งบอกให้เรารู้ว่า นรศังสะ อันติฤาษี กัลกิอวตาร และมะมหะ ที่ถูกกล่าวไว้ในคัมภีร์พระเวท คัมภีร์ปุราณะ มิใช่ใครอื่นนอกไปจากศาสดามุฮัมมัดที่ได้ถูกทำนายไว้ล่วงหน้าว่าจะมาเกิดเพื่อเป็นความเมตตาต่อประชาชาติทั้งมวล
หลายคนอาจสงสัยว่า ทำไมคัมภีร์พระเวทจึงไม่เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป คำตอบก็คือ คัมภีร์นี้ได้ถูกสงวนไว้ศึกษากันแต่เฉพาะในหมู่พวกพราหมณ์ และได้ถูกปิดกั้นมิให้คนทั่วไปได้ศึกษาโดยเฉพาะชนชั้นศูทร ที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่าพวกพราหมณ์ต้องการสงวนอำนาจในการเป็นผู้นำทางด้านจิตวิญญาณของประชาชนไว้ในชนชั้นของตัวเองจนถึงกับมีการวางกฎห้ามชนชั้นศูทรฟังและได้ยิน ดังนั้นคัมภีร์พระเวทจึงถูกห้ามอ่านในที่โล่ง