การฟื้นคืนชีพหลังความตาย เป็นสัจธรรมอย่างหนึ่งซึ่งถูกกล่าวควบคู่กับการมีอยู่ของพระเจ้า
การฟื้นคืนชีพหลังความตาย เป็นสัจธรรมอย่างหนึ่งซึ่งถูกกล่าวควบคู่กับการมีอยู่ของพระเจ้าองค์เดียวมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์แล้ว ถ้าไม่มีสัจธรรมในเรื่องนี้ มนุษย์ก็คงไม่ได้รับความเป็นธรรมในชีวิต โดยเฉพาะชีวิตที่แท้จริงในโลกหน้า ดังนั้น สัจธรรมนี้จึงมีอยู่ในคำสอนของทุกศาสดาและถือเป็นพื้นฐานความศรัทธาของทุกศาสนา เพียงแต่ถูกนำเสนอโดยการใช้ถ้อยคำที่ต่างกันเท่านั้น เช่น วันพิพากษา วันสิ้นโลก วันฟื้นคืนชีพ นรกและสวรรค์ เป็นต้น
เมื่อคำสอนของ นบีอีซา หรือ พระเยซูไปถึงอาณาจักรโรมันที่ผู้คนเคารพบูชารูปปั้นเทพเจ้าสารพัด ในเมืองเอฟิซุส ซึ่งชาวเมืองเคารพบูชาเทพีจันทราชื่อ “ไดอานา” มีเด็กหนุ่มจำนวนเจ็ดคนได้หันมาสักการะพระเจ้าองค์เดียวตามคำสอนของพระเยซู
เมื่อกษัตรย์เดซิอุสรู้ว่า เด็กหนุ่มกลุ่มนี้เปลี่ยนความเชื่อทางศาสนา พระองค์ก็ให้ทหารไปตามตัวเด็กหนุ่มเหล่านี้มาสอบสวนและขู่ให้เลิกนับถือศาสนาใหม่ แต่เด็กหนุ่มกลุ่มนี้ก็ยืนยันมั่นคงในความศรัทธาว่า พระเจ้าของพวกเขามีองค์เดียวและไม่ใช่รูปปั้นทั้งหลายที่คนทั่วไปกราบไหว้บูชากัน หากพวกเขากราบไหว้รูปปั้นเหล่านั้นก็เท่ากับพวกเขาทำบาปใหญ่
กษัตริย์เดซิอุสรู้สึกโกรธมากเมื่อได้ยินเช่นนั้น แต่เพราะเห็นว่าเด็กหนุ่มกลุ่มนี้ยังเยาว์วัยอยู่ จึงให้โอกาสแก่พวกเด็กหนุ่มกลับไปคิดเป็นเวลาสามวันว่า จะหันกลับมานับถือศาสนาเก่าหรือไม่ หากไม่เช่นนั้นแล้ว ทุกคนจะต้องถูกประหาร
เด็กหนุ่มทั้งเจ็ดได้ฉวยโอกาสในช่วงเวลาสามวันนั้นหลบหนีออกจากเมืองไปอาศัยอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่งบนภูเขา โดยมีสุนัขตัวหนึ่งติดตามไปด้วย ไม่ว่าเด็กหนุ่มพยายามจะไล่สุนัขตัวนี้อย่างไร มันก็ไม่ยอมไปไหน นอกจากจะนอนเฝ้าอยู่ที่ปากถ้ำ หลังจากนั้นเด็กหนุ่มทั้งเจ็ดก็นอนหลับไปเพราะความเหนื่อยล้า
เรื่องราวดังกล่าวเกิดขึ้นประมาณ ค.ศ. 250 แต่หลังจากนั้นอีก 197 ปี คือใน ค.ศ. 447 ซึ่งเป็นสมัยการปกครองของกษัตริย์ธีโอโดซีอุสที่ 2 เด็กหนุ่มกลุ่มนี้ได้ตื่นขึ้นมาในช่วงเวลาที่อาณาจักรโรมันได้รับนับถือศาสนาคริสต์และชาวเมืองเอฟิซุสก็เลิกเคารพบูชาเทวรูปแล้ว เรื่องราวของชาวถ้ำที่หลับไหลถึง 309 ปี
อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลานั้นเองชาวโรมันก็กำลังมีข้อโต้แย้งกันว่า การฟื้นคืนชีพหลังความตายเป็นเรื่องจริงหรือไม่ กษัตริย์เมืองเอฟิซุสอยากที่จะลบล้างการถกเถียงนี้ออกไปจากความคิดของประชาชน จนถึงกับวิงวอนต่อพระเจ้าให้แสดงสัญญาณอะไรบางอย่างที่จะช่วยแก้ไขความเชื่อของประชาชนให้ถูกต้อง
วันนั้นเองที่เด็กหนุ่มทั้งเจ็ดได้ตื่นขึ้นมาโดยที่ทุกคนต่างไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปนานเท่าใด ดังนั้น เด็กหนุ่มกลุ่มนี้จึงได้ให้เพื่อนคนหนึ่งไปตลาดเพื่อซื้ออาหารและสอบถามผู้คนถึงวันเวลา แต่เมื่อไปถึงตลาด เด็กหนุ่มคนนั้นก็พบว่าทุกสิ่งทุกอย่างได้เปลี่ยนไปหมดแล้ว เงินที่เขานำไปซื้ออาหารก็เป็นของเก่าที่พ่อค้าไม่ยอมรับ เพราะเป็นเหรียญโบราณเมื่อ 200 ปีที่แล้ว หลังจากที่พูดคุยกับพ่อค้าสักพัก เด็กหนุ่มก็เปิดเผยว่า พวกเขาเป็นผู้หลบหนีกษัตริย์เดซิอุสที่ข่มขู่พวกเขาให้เปลี่ยนความศรัทธา
เมื่อกษัตริย์ธีโอโดซีอุสรู้เรื่องราวของเด็กหนุ่มทั้งเจ็ด พระองค์ก็พาชาวเมืองตามไปพิสูจน์ความจริง กษัตริย์ธีโอโดซีอุสรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่เกิดเรื่องนี้ขึ้น พระองค์ถือว่านี่คือสัญญาณที่พิสูจน์ถึงการฟื้นคืนชีพหลังความตายที่ประชาชนตั้งข้อสงสัยและถกเถียงกันอยู่
หลังจากที่กษัตริย์และชาวเมืองได้พิสูจน์ความจริงแล้ว เด็กหนุ่มก็ขอกลับเข้าไปในถ้ำอีกครั้งหนึ่งและครั้งนี้พวกเขาก็ได้หลับไปตลอดกาล
ชาวคริสเตียนตะวันตกรู้จักเด็กหนุ่มกลุ่มนี้ว่า “ผู้หลับใหลทั้งเจ็ดแห่งเอฟิซุส” (The Seven Sleepers of Ephesus) และเรื่องราวดังกล่าวนี้เกิดขึ้นก่อนหน้าสมัยของนบีมุฮัมมัดประมาณ 500 ปี แต่ในคัมภีร์กุรอานบทที่ 18 เรียกเด็กหนุ่มกลุ่มนี้ว่า “ชาวถ้ำ”
สาเหตุที่เรื่องราวของ “ชาวถ้ำ” ถูกกล่าวไว้ในคัมภีร์กุรอานก็เนื่องจากเมื่อนบีมุฮัมมัดอพยพจากเมืองมักกะฮฺไปสู่เมืองยัษริบเพื่อแสวงหาสถานที่ปฏิบัติความศรัทธาอย่างสงบที่นั่น ในตอนนั้นเมืองยัษริบมีกลุ่มชนที่คัมภีร์กุรอานเรียกว่า “ลูกหลานอิสราเอล” อาศัยอยู่ก่อนแล้ว ลูกหลานอิสราเอลกลุ่มนี้อพยพมาจากกรุงเยรูซาเลมหลังจากที่ถูกพวกโรมันทำลายใน ค.ศ. 70 บางครั้ง คัมภีร์กุรอานก็เรียกลูกหลานอิสราเอลว่า “ชาวคัมภีร์” เพราะคนกลุ่มนี้มีความรู้ในเรื่องคัมภีร์ทางศาสนาที่ศาสดาของตัวเอง เช่น โมเสส เดวิดและพระเยซูนำมาอยู่แล้ว นบีมุฮัมมัดจึงเห็นว่าเป็นเรื่องง่ายที่จะเชิญชวนคนเหล่านี้สู่อิสลาม
แต่พอเอาเข้าจริงปรากฏว่าพวกลูกหลานอิสราเอลต่างปฏิเสธการเชิญชวนของท่าน เพียงเพราะเห็นนบีมุฮัมมัดเกิดในชนชาติอาหรับที่ป่าเถื่อน ไร้อารยธรรมและการศึกษา ตัวท่านนบีมุฮัมมัดเองก็อ่านหนังสือไม่ออกและเขียนหนังสือไม่ได้ ดังนั้น พวกลูกหลานอิสราเอลจึงปฏิเสธการเป็นนบีของท่านด้วย
ดังนั้น พระผู้เป็นเจ้าจึงได้ประทานเรื่องราวของ “ชาวถ้ำ” แก่ท่านมาอ่านให้พวกลูกหลานอิสราเอลฟัง เพื่อพิสูจน์ว่าถ้าพระเจ้าไม่ส่งท่านมา แล้วท่านจะมีความรู้ในเรื่องนี้ได้อย่างไร ขณะเดียวกันเรื่องราวของชาวถ้ำก็เป็นการเตือนชาวอาหรับว่า อย่าได้ปฏิเสธเรื่องการฟื้นคืนชีพหลังความตายเพียงเพราะตามองไม่เห็น มิเช่นนั้นจะได้รับความหายนะ เรื่องราวของชาวถ้ำที่หลับไหลถึง 309 ปี
เรื่องราวของชาวถ้ำในอัลกุรอาน (ซูเราะตุลกะฮฟฺ อายะฮฺที่ 10-25)
10. จงรำลึกขณะที่พวกชายหนุ่มหลบเข้าไปในถ้ำแล้วพวกเขากล่าวว่า “ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าของเรา ขอพระองค์ทรงโปรดประทานความเมตตาจากพระองค์แก่เรา(*1*) และทรงทำให้การงานของเราอยู่ในแนวทางที่ถูกต้อง” (1) คือขุมคลังแห่งความเมตตาของพระองค์ โดยเฉพาะคือการอภัยโทษและปัจจัยยังชีพ
11. แล้วเราได้อุดหูพวกเขา (ให้นอนหลับ) ในถ้ำ เป็นเวลาหลายปี
12. แล้วเราได้ให้พวกเขาลุกขึ้น เพื่อเราจะได้รู้ว่าผู้ใดในสองพวกนั้น(*1*) นับเวลาที่พวกเขาพำนักอยู่ได้ถูกต้องกว่า (1) สองพวกหมายถึงชาวถ้ำ เมื่อพวกเขาตื่นขึ้นมาก็มีความเห็นขัดแย้งกัน ในเรื่องกำหนดเวลาที่พำนักอยู่ในถ้ำบางคนในหมู่พวกเขามีความเห็นว่า พำนักอยู่วันหนึ่งหรือครึ่งวัน อีกบางคนเห็นว่าพระเจ้าของพวกท่านทรงรู้ดียิ่งที่พวกท่านพำนักอยู่
13. เราจะเล่าเรื่องราวของพวกเขาแก่เจ้าตามความเป็นจริง แท้จริงพวกเขาเป็นชายหนุ่มที่ศรัทธาต่อพระเจ้าของพวกเขา และเราได้เพิ่มแนวทางที่ถูกต้องให้แก่พวกเขา(*1*) (1) พวกเขาเป็นชายหนุ่มกลุ่มหนึ่งที่ศรัทธาต่ออัลลอฮ แล้วเราได้ให้พวกเขามั่นคงอยู่ในศาสนา และเราได้ให้พวกเขามีความเชื่อมั่นในศาสนามากยิ่งขึ้น
14. และเราได้ให้ความเข้มแข็งแก่หัวใจของพวกเขา(*1*) ขณะที่พวกเขายืนขึ้นประกาศว่า “พระเจ้าของเราคือพระเจ้าแห่งชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินเราจะไม่วิงวอนพระเจ้าอื่นจากพระองค์(*2*) มิเช่นนั้นเราก็กล่าวเกินความจริงอย่างแน่นอน
(1) เราได้ให้ความตั้งใจของพวกเขาเข้มแข็งยิ่งขึ้น และเราได้ดลใจให้พวกเขามีความอดทน จนกระทั่งจิตใจของพวกเขามั่นคงสงบสุขในความจริงและหยิ่งต่อการอีมาน
(2) ยืนขึ้นประกาศโดยไม่สะทกสะท้าน หรือเกรงกลัวอำนาจของกษัตริย์แต่ประการใด
(3) หากเราเคารพอิบาดะฮอื่นจากพระองค์แล้ว เราก็จะละเมิดความจริงและหันห่างออกจากความถูกต้อง และเราก็จมอยู่ในความอธรรมและการหลงผิด
15. กลุ่มชนของเราเหล่านั้นได้ยึดเอาพระเจ้าต่างๆ อื่นจากพระองค์ ทำไมพวกเขาจึงไม่นำหลักฐานอันชัดแจ้งมายืนยันเล่า ดังนั้นจะมีผู้ใดอธรรมยิ่งไปกว่าผู้ที่กล่าวเท็จต่ออัลลอฮ(*1*)
(1) ไม่มีผู้ใดที่จะอธรรมยิ่งไปกว่าผู้ที่กล่าวเท็จต่ออัลลอฮ ด้วยการตั้งภาคีต่อพระองค์
16. และเมื่อพวกเจ้าปลีกตัวออกห่างจากพวกเขา และสิ่งที่พวกเขาเคารพบูชาอื่นจากอัลลอฮแล้ว ดังนั้นพวกเจ้าก็จงหลบเข้าไปในถ้ำ พระผู้เป็นเจ้าของพวกเจ้าจะทรงแผ่ความเมตตาของพระองค์แก่พวกเจ้า และจะทรงทำให้กิจการของพวกเจ้าดำเนินไปอย่างสะดวกสบาย(*1*) (1) คือพระองค์จะทรงประทานริซกีและเครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆ ให้แก่พวกเขา เมื่อเข้าไปอยู่ในถ้ำ
17. และเจ้าจะเห็นดวงอาทิตย์ เมื่อมันขึ้น มันจะคล้อยจากถ้ำของพวกเขาไปทางขวา และเมื่อมันตก มันจะเบนออกไปทางซ้าย (*1*) โดยพวกเขาอยู่ในที่โล่งกว้างของมัน นั่นคือส่วนหนึ่งจากสัญญาณทั้งหลายของอัลลอฮฺ(*2*) ผู้ใดที่อัลลอฮฺทรงแนะทางที่ถูกต้องแก่เขา เขาก็คือผู้ที่อยู่ในแนวทางที่ถูกต้อง และผู้ใดที่พระองค์ทรงให้เขาหลง เขาจะไม่พบ (1) หมายความว่า ดวงอาทิตย์จะไม่ส่องไปถูกพวกเขา ขณะที่มันขึ้น และขณะที่มันตก เป็นการให้เกียรติแก่พวกเขาจากอัลลอฮฺ ตะอาลา (2) คือสัญญาณแห่งเดชานุภาพอันชัดแจ้งของอัลลอฮฺ อิบนฺอับบาสกล่าวว่า หากว่าดวงอาทิตย์ส่องมาโดนพวกเขา มันจะทำให้พวกเขาไหม้เกรียม และหากว่าพวกเขาไม่พลิกกลับไปกลับมา ดินก็จะกัดกินพวกเขา ผู้ช่วยเหลือผู้ชี้ทางแก่เขาเลย
18. และเจ้าคิดว่าพวกเขาตื่นทั้งๆ ที่พวกเขาหลับ และเราพลิกพวกเขาไปทางขวาและทางซ้ายและสุนัขของพวกเขาเหยียดขาหน้าทั้งสอง ของมันไปทางปากถ้ำ หากเจ้าจ้องมองพวกเขา แน่นอนเจ้าจะหันหลังเตลิดหนีจากพวกเขา และเจ้าจะเต็มไปด้วยความตกใจเพราะพวกเขา
19. และในทำนองนั้นเราได้ให้พวกเขาลุกขึ้นเพื่อพวกเขาจะถามซึ่งกันและกัน คนหนึ่งในพวกเขากล่าวว่า “พวกท่านพำนักอยู่นานเท่าใด ?” พวกเขากล่าวว่า “เราพักอยู่วันหนึ่งหรือส่วนหนึ่งของวัน”(*1*) พวกเขากล่าวว่า “พระผู้เป็นเจ้าของพวกท่านทรงทราบดีว่า พวกท่านพำนักอยู่นานเท่าใด ดังนั้นจงส่งคนหนึ่งในหมู่พวกท่านไปในเมือง พร้อมด้วยเหรียญเงินนี้ของพวกท่าน เพื่อเลือกดูอาหารที่ดียิ่ง และให้เขาซื้อมาให้แก่พวกท่าน และให้เขาประพฤติอย่างสุภาพ และอย่าให้ผู้ใดรู้เรื่องของพวกท่าน”(*2*) (1) นักตัฟซีรอธิบายว่า พวกเขา (ชาวถ้ำ) ได้เข้าไปในถ้ำเวลาเช้า และอัลลอฮทรงให้พวกเขาตื่นในเวลาเย็นพวกเขานึกว่าดวงอาทิตย์ตกแล้ว พวกเขาจึงกล่าวว่า เราพักอยู่ที่นี่วันหนึ่ง แต่บางคนเห็นว่าดวงอาทิตย์ยังไม่ตก พวกเขาจึงกล่าวว่า ส่วนหนึ่งของวันพวกเขาหารู้ไม่ว่า แท้จริงพวกเขาได้นอนอยู่ในถ้ำเป็นเวลาถึง 309 ปี (2) คือเข้าไปในเมืองอย่างสุภาพและซื้ออาหาร โดยอย่าให้ผู้ใดรู้เรื่องของพวกเรา
20. แท้จริงพวกเขานั้น หากพวกเขารู้เรื่องของพวกท่าน พวกเขาจะเอาก้อนหินขว้างพวกท่านหรือนำพวกท่านกลับไปนับถือศาสนาของพวกเขา และเมื่อนั้นพวกท่านจะไม่บรรลุความสำเร็จเลย”(*1*) (1) นี่คือการสนทนาระหว่างชายหนุ่มด้วยกัน เพื่อหาช่องทางมิให้เรื่องราวของพวกเขาล่วงรู้ไปถึงกษัตริย์ มิฉะนั้นแล้วพวกเขาจะไม่ปลอดภัย
21. และในทำนองนั้นเราได้เปิดเผยแก่พวกเขาเพื่อพวกเขาจะได้รู้ว่าสัญญาของอัลลอฮ์นั้นเป็นจริง และแท้จริงวันสิ้นโลกนั้นมีจริง ไม่ต้องสงสัยเลย เมื่อพวกเขาโต้เถียงกันในหมู่พวกเขาถึงเรื่องของพวกเขา(ชาวถ้ำ) แล้ว(*1*) พวกเขากล่าวว่า “จงสร้างอาคารที่ปากถ้ำให้แก่พวกเขา” พระผู้เป็นเจ้าของพวกเขาทรงรู้ดียิ่งขึ้นในเรื่องของพวกเขา ฝ่ายบรรดาผู้มีเสียงข้างมากในเรื่องของพวกเขากล่าวว่า “แน่นอนเราจะสร้างมัสยิดที่ปากถ้ำให้แก่พวกเขา”(*2*) (1) ขณะที่กลุ่มชนกำลังโต้เถียงกันในเรื่องของชาวถ้ำ หลังจากที่อัลลอฮ์ ตะอาลา ทรงเผยให้พวกเขาได้ทราบเรื่องของชาวถ้ำแล้วพระองค์ก็ได้เอาชีวิตของพวกเขาไป (2) เพื่อพวกเราจะได้ทำละหมาดและทำอิบาดะฮ์ต่ออัลลอฮ์ในมัสยิดนั้น
22. พวกเขาจะกล่าวกันว่า ชาวถ้ำนั้นมีสามคน ที่สี่ก็คือสุนัขของพวกเขา และอีกกลุ่มจะกล่าวว่า มีห้าคน ที่หกก็คือสุนัขของพวกเขา ทั้งนี้เป็นการเดาในสิ่งที่ไม่รู้ และอีกกลุ่มหนึ่งจะกล่าวว่ามีเจ็ดคน และที่แปดก็คือสุนัขของพวกเขา จงกล่าวเถิด“พระผู้เป็นเจ้าของฉันทรงรู้ดียิ่งถึงจำนวนของพวกเขา ไม่มีผู้ใดรู้เรื่องของพวกเขาเว้นแต่ส่วนน้อย” ดังนั้น เจ้าอย่าโต้เถียงกันในเรื่องของพวกเขา นอกจากการโต้เถียงที่ประจักษ์แจ้ง และอย่าสอบถามผู้ใดในเรื่องของพวกเขาเลย (*1*) (1) การโต้เถียงกันเกี่ยวกับจำนวนของชายหนุ่มชาวถ้ำนั้นไม่มีที่สิ้นสุด ความจริงแล้วย่อมมี่ผลเท่ากัน ไม่ว่าจะเป็นสามหรือห้าหรือเจ็ดหรือมากกว่านั้น เรื่องของพวกเขาจะถูกมอบไว้แต่อัลลอฮุ และความรู้เกี่ยวกับพวกเขาอยู่ที่อัลลอฮุเพราะบทเรียนในเรื่องของพวกเขาย่อม เกิดขึ้น จะด้วยจำนวนมากหรือน้อยก็ตาม ดังนั้นอัลกุรอานจึงได้ชี้นแนะแก่ท่านร่อซูลุลลอฮุ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ให้ละทิ้งการโต้เถียงกันในเรื่องนี้
23. และเจ้าอย่ากล่าวเกี่ยวกับสิ่งใดว่า “แท้จริงฉันจะเป็นผู้ทำสิ่งนั้นในวันพรุ่งนี้”(*1*) (1) อิบนุกะษีรกล่าวว่า สาเหตุของการประทานอายะฮ์นี้คือ เมื่อท่านนะบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ถูกถามเกี่ยวกับเรื่องของชาวถ้ำ ท่านได้กล่าวว่า “พรุ่งนี้ฉันจะตอบพวกท่าน” ดังนั้นอัลวะฮยฺจึงได้ล่าช้าออกไปจากท่านเป็นเวลาถึง15 วัน
24. เว้นแต่อัลลอฮ์ทรงประสงค์ จงรำลึกถึงพระผู้เป็นเจ้าของเจ้าเมื่อลืม และจงกล่าวว่า “บางทีพระผู้เป็นเจ้าของฉันจะทรงชี้แนะทางที่ถูกต้องที่ใกล้กว่านี้แก่ฉัน”(*1*) (1) คือหวังว่าอัลลอฮ์จะทรงประทานความสำเร็จให้แก่ฉัน และทรงชี้แนะแก่ฉันในสิ่งที่เป็นประโยชน์ยิ่ง ในเรื่องของศาสนาของฉันและดุนยาของฉัน
25. และพวกเขาพำนักอยู่ในถ้ำของพวกเขาสามร้อยปี และเพิ่มอีกเก้าปี(*1*) (1) อยู่ในสภาพนอนหลับ และนี่เป็นการชี้แจงในสิ่งที่ได้กล่าวไว้โดยย่อในพระดำรัสของพระองค์ที่ว่า “เป็นจำนวนหลายปี” ในอายะฮ์ที่ 11 ของซูเราะฮ์นี้
26. จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด “อัลลอฮ์ทรงรู้ดียิ่งว่าพวกเขาพำนักอยู่นานเท่าใด สำหรับพระองค์นั้นทรงรู้สิ่งพ้นญาณวิสัย ในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินพระองค์ทรงเห็นชัดและทรงฟังชัดทุกสิ่งทุกอย่าง(*1*)ไม่มีผู้คุ้มครองใดสำหรับพวกเขาอื่นจากพระองค์พระองค์ไม่ทรงรับผู้ใดเข้าร่วมภาคีในการปกครองของพระองค์” (1) พระองค์ทรงเห็นชัดในทุก ๆ สิ่งที่มีอยู่ และทรงผังชัดในทุก ๆ สิ่งที่ถูกได้ยิน ทรงตระหนักดีในสิ่งเร้นลับ เช่นเดียวกับที่ทรงตระหนักดีในสิ่งเปิดเผย
บทความโดย : อาจารย์บรรจง บินกาซัน
บทความที่น่าสนใจ: