ชีวประวัตินบีอิสฮาก และนบียะกู๊บ ชีวิตของตนกำลังใกล้วันสิ้นสุดเข้ามาทุกที เขาอยากที่จะเห็นอิสฮากได้แต่งงาน เขาไม่ต้องการให้อิสฮากแต่งงานกับหญิงชาวคะนาอันที่เคารพบูชารูปปั้น
ชีวประวัตินบีอิสฮาก และนบียะกู๊บ
ภาพไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา
คัมภีร์กุรอาน ไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับชีวิตของอิสฮากไว้ แต่นักอรรถาธิบายคัมภีร์กุรอานผู้น่าเชื่อถือได้กล่าวว่า เมื่อนบีอิบรอฮีมรู้สึกว่า ชีวิตของตนกำลังใกล้วันสิ้นสุดเข้ามาทุกที เขาอยากที่จะเห็นอิสฮากได้แต่งงาน เขาไม่ต้องการให้อิสฮากแต่งงานกับหญิงชาวคะนาอันที่เคารพบูชารูปปั้น ดังนั้น เขาจึงได้ส่งคนรับใช้ที่ซื่อสัตย์คนหนึ่งไปยังฮารานในอิรักเพื่อเลือกเจ้า สาวให้อิสฮาก ปรากฏว่าคนรับใช้ได้ไปเลือก ผู้หญิงคนหนึ่งที่ชื่อรีเบคาห์ บินติ เบซูเอล อิบนุนาฮอร์ ที่เป็นพี่น้องคนหนึ่งของนบีอิบรอฮีม อิสฮากได้แต่งงานกับผู้หญิงคนนี้และนางได้ให้กำเนิดแฝดคู่หนึ่งคือ อัลอีซ (อีเซา) และยะกู๊บ (ยาโกบ)
แต่เมื่อพี่น้องสองโตขึ้น สองพี่น้องฝาแฝดก็เกิดความบาดหมางกัน อีเซาไม่ชอบที่ยะกู๊บเป็นที่รักของพ่อมากกว่าและได้รับความโปรดปรานจากอัลลอฮฺด้วยการถูกแต่งตั้งให้เป็นนบี ความรู้สึกไม่ดีนี้รุนแรงขึ้นจนกระทั่งอีเซาขู่ที่จะฆ่าน้องชายของเขา ดังนั้น ด้วยความกลัว ยะกู๊บจึงหนีออกไปจากถิ่นที่อยู่ของตน
ชาวคัมภีร์ได้กล่าวว่าเมื่ออิสฮากมีอายุ 40 ปี เขาได้แต่งงานกับรีเบคาห์ บินติเบซูเอล ในระหว่างที่พ่อของเขามีชีวิตอยู่ พวกเขาได้กล่าวว่านางเป็นหมัน ดังนั้น อิสฮากจึงได้ขอวิงวอนขอต่ออัลลอฮฺ หลังจากนั้น นางก็ได้ตั้งครรภ์ นางได้ให้กำเนิดลูกแฝดชาย แฝดคนแรกชื่ออีเซาซึ่งชาวอาหรับเรียกว่าอัลอีซ ซึ่งต่อมาเป็นพ่อของรูมส่วนแฝดคนที่สองชื่อยะกู๊บซึ่งหมายถึงอิสราเอล (เป็นคนของอิสราเอล)
ชาวคัมภีร์อ้างว่า เมื่ออิสฮากแก่ตัวลงและสายตามองไม่ค่อยเห็น วันหนึ่ง เขามีความต้องการอาหาร ดังนั้น เขาจึงขอให้อีเซาไปล่าสัตย์เพื่อนำมาทำอาหาร อีเซาได้ขอเขาวิงวอนขอความจำเริญให้แก่อาหารและขอพรให้แก่เขา หลังจากนั้น อีเซานักล่าก็ออกไปล่าเนื้อให้พ่อ เมื่อรีเบคาห์ได้ยินเรื่องนี้ นางได้สั่งยะกู๊บลูกชายของนางให้เชือดแพะตัวที่ดีที่สุดสองตัวและนำไปปรุง อาหารที่พ่อชอบและนำไปให้พ่อก่อนที่พี่ชายของเขาจะกลับมา นางได้ให้ยะกู๊บใส่เสื้อผ้าของพี่ชายและเอาหนังแพะใส่ไว้บนแขนทั้งสองข้าง และคอ เพราะอีเซาเป็นคนที่มีขนดกซึ่งผิดกับยะกู๊บ
เมื่อเขาได้เข้ามาหาพ่อพร้อมกับอาหาร พ่อของเขาได้ถามว่า “เจ้าเป็นใคร?” ยะกู๊บได้ตอบว่า “ฉันเป็นลูกชายของพ่อ” เมื่อพ่อของเขากินอาหารอิ่มแล้วก็วิงวอนให้ลูกชายของเขาได้เป็นพี่ชายที่ได้ รับพระพรมากกว่าพี่น้องคนใดและมีอำนาจเหนือผู้คนทั้งหมด และได้วิงวอนต่ออัลลอฮฺให้ปกป้องรักษาเขาและลูกหลานของเขาด้วย
เมื่อยะกู๊บได้ออกไปจากพ่อแล้ว อีเซาพี่ชายของเขาซึ่งออกไปปฏิบัติหน้าที่ที่พ่อได้มอบให้ก็เข้ามา อิสฮากได้ถามเขาว่า “นี่อะไรลูก?” เขาได้ตอบว่า “นี่คืออาหารที่พ่อชอบไงล่ะ” อิสฮากจึงได้กล่าวว่า “เมื่อก่อนหน้านี้เจ้าได้นำมาให้พ่อและขอให้พ่อขอพรให้เจ้าแล้วไม่ใช่หรือ ?” อีเซาตอบว่า “เปล่าเลย ฉันสาบานได้ว่าฉันไม่ได้ทำ” และเขาก็รู้ว่าน้องชายของเขาได้ชิงตัดหน้าเข้ามาเสียก่อนแล้ว เขาจึงรู้สึกท้อใจเป็นอย่างมาก
ชาวคัมภีร์ได้กล่าวว่าอีเซาขู่จะฆ่าน้องชายของเขาเมื่อพ่อของ เขาเสียชีวิตพวกเขายังได้กล่าวด้วยว่าอีเซาได้ขอให้พ่อของเขาวิงวอนต่ออัล ลอฮฺให้พระองค์ทรงทำให้โลกนี้เป็นสถานที่ที่ดีสำหรับลูกหลานของเขาและเพิ่ม พูนปัจจัยและผลไม้ให้แก่เขา
ชาวคัมภีร์ได้กล่าวว่าอีเซาขู่จะฆ่าน้องชายของเขาเมื่อพ่อของ เขาเสียชีวิตพวกเขายังได้กล่าวด้วยว่าอีเซาได้ขอให้พ่อของเขาวิงวอนต่ออัล ลอฮฺให้พระองค์ทรงทำให้โลกนี้เป็นสถานที่ที่ดีสำหรับลูกหลานของเขาและเพิ่ม พูนปัจจัยและผลไม้ให้แก่เขา
เมื่อแม่ของเขารู้ว่าอีเซาขู่จะฆ่ายะกู๊บน้องชาย นางได้สั่งยะกู๊บไปหาละบานน้องชายของนางในฮารานและเชื่อฟังเขาจนกว่าพี่ชาย ของเขาจะหายโกรธ และสั่งให้เขาแต่งงานกับลูกสาวคนหนึ่งของละบาน นางได้บอกอิสฮากสามีของนางให้สั่งเขาให้ทำตามคำแนะนำนั้นและวิงวอนให้แก่เขา ซึ่งอิสฮากก็ทำตาม
ยะกู๊บ ได้ออกจากครอบครัวของเขาไป เมื่อตกกลางคืน เขาก็ได้พบสถานที่พักผ่อนแห่งหนึ่ง เขาได้เอาหินมาหนุนหัวและนอนหลับไป เขาได้ฝันเห็นมีบันไดจากสวรรค์ลงมายังโลกโดยมีมลาอิก๊ะฮฺกำลังขึ้นลงอยู่ และพระเจ้าได้ตรัสกับเขาว่า “ฉันจะให้พรเจ้าและลูกหลานของเจ้าและทำให้แผ่นดินนี้เป็นของเจ้าและของผู้ ที่จะมาหลังจากเจ้า”
เมื่อเขาตื่นขึ้น เขามีความสุขจากสิ่งที่เขาเห็นในความฝันและสาบานว่าถ้าเขากลับมาถึงครอบครัว ของเขาอย่างปล่อดภัย เขาจะสร้างวิหารแห่งหนึ่งที่นี่เพื่ออัลลอฮฺผู้ทรงยิ่งใหญ่ นอกจากนี้แล้วเขายังได้สาบานที่จะให้ทรัพย์สินหนึ่งในสิบของเขาเพื่ออัลลอฮฺ เขาเทน้ำมันลงบนก้อนหินเพื่อเป็นสัญลักษณ์และเรียกสถานที่แห่งนั้นว่า “เบเธล” (บ้านของอัยล์ส) ซึ่งหมายถึง “บ้านของอัลลอฮฺ” ต่อมาสถานที่แห่งนี้เป็นที่ตั้งของเมืองเยรูซาเล็ม
ชาวคัมภีร์ยังได้กล่าวอีกว่า เมื่อยะกู๊บมาหาลุงในแผ่นดินฮาราน ลุงของเขามีลูกสาวสองคน คนโตชื่อลีอาห์ (เลีย) และคนเล็กชื่อราเชล (รอฮีล) แต่คนน้องเป็นคนที่ดีกว่าและน่ารักกว่า ลุงของเขายินดีที่จะยกลูกสาวให้แต่งงานกับยะกู๊บโดยมีเงื่อนไขว่ายะกู๊บต้อง เลี้ยงดูฝูงแกะของเขาเป็นเวลาเจ็ดปี
หลังจากนั้นระยะหนึ่ง ลุงของเขาก็เตรียมจัดงานเลี้ยงและรวมคนเพื่องานฉลองเขาได้ให้ลีอาห์แต่งงาน กับยะกู๊บในตอนกลางคือ แต่ลีอาห์สายตาไม่ดีและหน้าต่าน่าเกลียด เมื่อถึงรุ่งเช้า ยะกู๊บก็พบว่าภรรยาของเขาคือลีอาห์ เขาจึงได้ตำหนิลุงของเขาว่า “ลุงหลอกฉัน ฉันหมั้นหมายกับราเชล แต่ลุงแต่งงานฉันกับลีอาห์” ลุงของเขาจึงกล่าวว่า “มันไม่ใช่ประเพณีปฏิบัติของเราที่จะแต่งงานลูกสาวคนรองก่อนคนแรกอย่างไรก็ ตาม ถ้าหากเจ้ารักน้องสาวของนางก็ทำงานต่ออีกเจ็ดปีและฉันจะแต่งงานเจ้าทั้งสอง”
ยะกู๊บทำงานต่ออีกเป็นเวลาเจ็ดปีและหลังจากนั้นก็แต่งงานกับรา เชล ในคัมภีร์เตารอตกล่าวว่า ในตอนนั้น การแต่งงานกับผู้หญิงสองคนที่เป็นพี่น้องกันเป็นที่ยอมรับได้ ละบานได้ให้บ่าวหญิงแก่ลูกสาวแต่ละคน บ่าวหญิงของลีอาห์ชื่อซิลปาห์และบ่าวหญิงของราเชลชื่อบิลฮา
อัลลอฮฺชดเชยความด้อยกว่าของลีอาห์ด้วยการให้นางมีบุตรชายหลายคน คนแรกชื่อ (รอบีล) หลังจากนั้นก็มีซินเมโอน (ซัมอูน) เลวี (ลาวี) และยูดาห์ (ยะฮูด) ราเชลรู้สึกอิจฉาที่ลีอาห์มีลูกชายเพราะนางเป็นหมัน นางได้ให้บิลฮาสาวใช้ของนางให้แก่สามีของนางและเขาได้มีความสัมพันธ์กับบ่าว หญิงคนนั้นจนตั้งครรภ์นางได้ให้กำเนิดลูกชายคนหนึ่งและตั้งชื่อให้ว่านัฟตา ลี
ลีอาห์ รู้สึกหงุดหงิดที่บ่าวหญิงของราเชลให้กำเนิดลูกชาย ดังนั้น นางจึงยกซิลปาห์บ่าวหญิงของนางให้แก่ยะกู๊บเป็นการตอบโต้และซิลปาห์ได้ให้ กำเนิดลูกชายสองคนคือกาดและอาเชอร์ หลังนั้น ลีอาห์ก็ตั้งครรภ์และให้กำเนิดทารกคนที่ห้าของนางชื่ออิสซาคาร์และต่อมาก็ ได้ให้กำเนิดลูกชายที่หกชื่อเซบลูน หลังจากนั้น ลีอาห์ก็ได้ให้กำเนิดลูกสาวคนหนึ่งที่มีชื่อดินาห์ ดังนั้น ลีอาห์จึงมีลูกเจ็ดคนจากยะกู๊บ
ราเชล ได้วิงวอนขอต่ออัลลอฮฺให้ประทานลูกชายแก่นางคนหนึ่งจากยะ กู๊บ อัลลอฮฺได้ยินคำวิงวอนของนางและได้สนองคำวิงวอนของนางด้วยการให้นางมีลูกชาย คนหนึ่งซึ่งมีรูปร่างหน้าตาดี มีเกียรติและยิ่งใหญ่ นางได้ตั้งชื่อให้ลูกชายของนางว่า ยูซุฟ (โจเซฟ)
เรื่องราวทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเมื่อคนเหล่านี้อยู่ในแผ่นดินฮารานและยะกู๊บกำลังเลี้ยงสัตย์ให้ลุงของเขาเป็นเวลา 20 ปี
หลังจากนั้น ยะกู๊บขออนุญาตละบานลุงของเขาไปเยี่ยมครอบครัวของเขาลุงของเขาได้กล่าวแก่ เขาว่า "ฉันรับความจำเริญเพราะเจ้า เจ้าจะขอเงินเท่าใดก็ได้ที่เจ้าต้องการ” ยะกู๊บได้กล่าวว่า “ฉันขอแพะที่มีรอยจุดรอยด่างที่เกิดในปีนี้และแกะดำอย่างละตัว”
ละบานได้ให้ตามนั้น แต่พวกลูกชายของเขาได้เอาแพะของพ่อที่เป็นลาย เป็นจุดหรือเป็นรอยด่างและแกะดำออกไปจากฝูงด้วยเกรงว่าตัวอื่นจะเกิดมามี ลักษณะ เช่นนั้น พวกเขาเดินเป็นเวลาสามวันกับแพะและแกะของพ่อของเขาขณะที่ยะกู๊บดูแลฝูงที่ เหลือ
ชาวคัมภีร์กล่าวว่ายะกู๊บได้เอากิ่งไม้สดจากต้นป็อปลาร์และ อัลมอนด์มาปอกและฉีกเอาเส้นเนื้อไม้ข้างในมาโยนลงในรางน้ำเพื่อแพะเห็น ทำให้ลูกที่อยู่ในท้องตกใจและคลองออกมาเป็นลายหรือเป็นจุด เมื่อแกะกำลังกินอาหาร เขาได้หันหน้าไปทางแกะดำในฝูงของละบานและโยนกิ่งไม้ไปในฝูงแกะ แกะที่คลองออกมาก็มีสีดำนี่ถือเป็นตัวอย่างของพลังเหนือธรรมชาติหรือ ปาฏิหาริย์อย่างหนึ่ง ยะกู๊บมีแพะ แกะ สัตย์อย่างอื่นอีกหลายตัวและมีบ่าวหลายคน ใบหน้าของลุงของเขาและลูกชายต้องเปลี่ยนไปราวกับว่าแพะและแกะได้ถูกขโมยไป จากพวกเขา
อัลลอฮฺได้ดลใจยะกู๊บให้กลับไปยังแผ่นดินบ้านเกิดของพ่อและผู้ คนของเขาและพระองค์ได้ทรงสัญญาว่าจะอยู่ข้างเขา ยะกู๊บได้บอกครอบครัวของเขาถึงเรื่องนี้และทุกคนก็เชื่อฟัง อย่างไรก็ตาม ยะกู๊บไม่ได้บอกละบานถึงแผนการของเขาและเดินทางโดยไม่ได้บอกลา
ใน ตอนที่ออกไป ราเชลได้ขโมยรูปเคารพของพ่อของนางมาด้วย หลังจากยะกู๊บและคนของเขาออกเดินทาง ละบานและคนของเขาได้ออกติดตาม เมื่อละบานพบกับยะกู๊บ เขาได้ตำหนิยะกู๊บที่จากเขามาโดยไม่บอกให้เขารู้ เบาอยากจะรู้ก็เพื่อทที่เขาจะได้จัดให้มีการรื่นเริงเฉลิมฉลองด้วยเสียงกลอง และการร้องเพลงก่อนที่พวกเขาจะออกเดินทางและยะกู๊บจะได้ร่ำลาลูกๆของเขาด้วย และเขาอยากจะรู้ว่าทำไมพวกเขาต้องเอารูปเคารพไปกับพวกเขาด้วย ?
ยะกู๊บไม่รู้เรื่องรูปเคารพเลย ดังนั้น เขาจึงปฏิเสธ ด้วยเหตุนี้ ละบานจึงได้เข้าไปในกระโจมของลูกสาวและบ่าวเพื่อค้นหา แต่ก็ไม่พบสิ่งใดเพราะราเชลได้เอารูปเคารพนั้นใส่ไว้ใต้ที่นั่งบนหลังอูฐที่ นางนั่งมา นางไม่ได้ลุกขึ้นจากที่นั่งและแก้ตัวว่านางมีประจำเดือน ดังนั้น เขาจึงไม่เข้ามาค้น
หลังจากนั้น พวกเขาก็ได้มานั่งบนเนินเขาแห่งหนึ่งที่ถูกเรียกว่ากาลีดและได้ทำสัญญาอย่าง หนึ่งกันที่นั่น นั่นคือ ยะกู๊บจะไม่ทำร้ายลูกสาวของละบานและจะไม่แต่งงานกับหญิงอื่น ทั้งละบานและยะกู๊บจะไม่ผ่านเนินเขาเข้าไปยังถิ่นที่อยู่ของคนอื่น พวกเขาได้ปรุงอาหารและคนของเขาได้กินร่วมกัน หลังจากนั้นต่างฝ่ายก็ต่างลาและต่างฝ่ายก็เดินทางกลับบ้านของตัวเอง
เมื่อยะกู๊บเข้ามาใกล้ดินแดนเซอีร์ มลาอิก๊ะฮฺได้มาทักทายเขา เขาได้ส่งคนนำสารล่วงหน้าไปหาอีเซาพี่ชายของเขาและขอโทษต่อเขาด้วยความ นอบน้อม คนนำสารได้กลับมาพร้อมคำตอบรับและบอกยะกู๊บว่าอีเซากำลังมุ่งหน้ามาหาเขา พร้อมกับอีกสี่ร้อยคน
ยะกู๊บรู้สึกกลัวเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาได้ปลีกตัวออกไปวิงวอนขอความคุ้มครองต่อพระเจ้า เขากราบด้วยความถ่อมตนและขอต่อพระองค์ให้ทำตามสัญญาที่พระองค์ได้ทรงให้ไว้ ก่อนหน้านี้ เขาได้ขอให้พระองค์หยุดยั้งความชั่วช้าของอีเซาพี่ชายของเขา หลังจากนั้น ยะกู๊บก็เตรียมของขวัญชิ้นใหญ่ไว้สำหรับพี่ชายของเขา นั่นคือแพะตัวเมีย 200 ตัวและแพะตัวผู้ 20 ตัว แกะตัวเมีย 200 ตัวและแกะตัวผู้ 20 ตัว อูฐให้นม 30 ตัว วัวตัวเมีย 40 ตัวและวัวตัวผู้ 10 ตัว ลาตัวเมีย 20 ตัวและลาตัวผู้อีก 10 ตัว
เขาได้สั่งทาสของเขาให้ไปเอาสัตว์มาและให้แต่ละคนขี่สัตว์พาหนะ นำหน้าเขาระยะหนึ่ง เขาได้สั่งทาสของเขาว่า “เมื่อพวกเจ้าพบอีเซาพี่ชายของฉัน เขาจะถามเจ้าว่า ‘เจ้าเป็นพวกใคร ? พวกเจ้ากำลังจะไปไหน ?’ พวกเจ้าจะต้องตอบว่า ‘พวกมันเป็นของยะกู๊บบ่าวของท่าน พวกมันเป็นของขวัญสำหรับอีเซานายของฉัน เขาอยู่ข้างหลังเรา”
ยะกู๊บยืนอยู่ข้างหลังกับภรรยาสองคนของเขา ทาสและลูกๆของเขาเป็นเวลาสองคืน หลังจากนั้นก็เดินต่อในเวลากลางคืนและพักในตอนกลางวัน
เมื่อรุ่งเช้าของวันที่สองมาถึง มลาอิก๊ะฮฺองค์หนึ่งได้ปรากฏตัวขึ้นในรูปของผู้ชายคนหนึ่ง ยะกู๊บได้เริ่มปล้ำกับผู้ชายคนนั้น พวกเขาปล้ำกันจนกระทั่งมลาอิก๊ะฮฺทำให้ต้นขาของยะกู๊บบาดเจ็บและต้องเดิน กะโผลกกะเผลก เมื่อเย็นลง มลาอิก๊ะฮฺได้ถามเขาว่า “ท่านชื่ออะไร ?” เขาได้ตอบว่า “ยะกู๊บ” มลาอิก๊ะฮฺได้กล่าวว่า “หลังจากวันนี้ ท่านจะไม่ถูกเรียกเป็นอย่างอื่นอีกนอกจาอิสราเอล” ยะกู๊บได้ถามว่า “และท่านเป็นใคร ? ท่านชื่ออะไร ?” แต่ผู้นั้นได้หายไป ดังนั้น ยะกู๊บจึงรู้ว่าคนผู้นั้นเป็นมลาอิก๊ะฮฺ เนื่องจากยะกู๊บต้องขาเสีย ดังนั้น น่นเป็นเหตตุผลที่ลูกหลานของอิสราเอลจึงไม่กินกล้ามเนื้อต้นขาบนสะโพก
เมื่อยะกู๊บลืมตาขึ้นและเห็นอีเซาพี่ชายของเขากำลังมา ยะกู๊บได้ก้มกราบ 7 ครั้งต่อหน้าเขาเพราะมันเป็นการให้ความเตารพในเวลานั้น มันเป็นที่อนุมัติสำหรับพวกเขาเช่นเดียวกับที่มลาอิก๊ะฮฺได้ก้มกราบแสดงความ นอบน้อมต่ออาดัม
เมื่ออีเซาเห็นยะกู๊บ เขาก็วิ่งไปสวมกอดและจูบและร้องไห้ เมื่ออีเซาลืมตาขึ้นและเห็นผู้หญิงและเด็กๆ เขาก็ได้ถามว่า “ที่มาด้วยกับเจ้าเป็นใคร ?” ยะกู๊บได้ตอบว่า “คนที่อัลลอฮฺได้ประทานแก่ฉัน บ่าวของท่าน” ลีอาห์ ราเชล บ่าวของพวกนางและลูกๆทั้งหมดได้เข้ามาใกล้และกราบต่อเขา ยะกู๊บได้ขอให้อีเซารับของขวัญของเขาและรบเร้าให้รับจนกระทั่งอีเซาต้องยอม รับ
อีเซาได้ล่วงหน้ากลับไปก่อนยะกู๊บ หลังจากนั้น ยะกู๊บและครอบครัวพร้อมฝูงสัตว์และทาสก็มุ่งหน้าสู่ภูเขา (เซอีร์)
เมื่อพวกเขามาถึงซัคโคธ (ซาฮูร์) เขาได้สร้างบ้านขึ้นมาหลังหนนึ่งสำหรับตัวเองและที่พักให้สัตว์ของเขา หลังจากนั้น เขาก็เดินทางผ่านเยรูซาเล็ม หมู่บ้านเซเคมและได้ตั้งค่ายพักแรมหน้าหมู่บ้าน เขาได้ซื้อฟาร์มแห่งหนึ่งจากเซเคม อิบนุ ฮามอร์ด้วยแพะร้อยตัวและได้สร้างแท่นบูชาขึ้นซึ่งเรียกว่า “เอล” ทั้งนี้เพราะอัลลอฮฺได้ทรงบัญชาเขา เขาได้สร้างแท่นบูชาบริเวณที่ตั้งเมืองเยรูซาเล็มในปัจจุบันและต่อมา (โซโลมอน) ลูกชายของดาวูด (เดวิด) ได้สร้างมันขึ้นมาใหม่อีกครั้งหนึ่งมันอยู่ในสถานที่ตั้งของหินที่เขาได้เอา น้ำมันทาไว้ก่อนหน้านี้ดังที่เราได้กล่าวมาแล้ว
ชาวคัมภีร์ได้เล่าเรื่องราวของดีนาห์ลูกสาวของยะกู๊บที่เกิดกับ นางลีอาห์ เรื่องราวมีอยู่ว่าเซเคม อิบนุฮามอร์ได้ฉุดเธอและหลับนอนกับเธอโดยใช้กำลัง หลังจากนั้นเขาก็ได้ขอพ่อและพี่ชายของเธอให้แต่งงานเขากับเธอ พี่ชายของเธอได้กล่าวว่า
“จงขลิบหนังปลายอวัยวะเพศทุกคน และเราจะให้ลูกสาวของเราแก่พวกเจ้า และเราจะเอาลูกสาวของเจ้ามาเป็นของเรา แต่เราจะไม่แต่งงานกับคนที่ไม่ขลิบหนังปลายอวัยวะเพศ”
ชาวเมืองทั้งหมดตกลงที่จะทำตามและทุกคนก็ขลิบหนังปลายอวัยวะเพศ เมื่อเข้าสู่วันที่สาม คนที่ขลิบหนังปลายอวัยวะเพศรู้สึกเจ็บมากขึ้น พวกลูกชายของยะกู๊บได้เข้ามาฆ่าคนเหล่านั้นทั้งหมดจนกระทั่งคนสุดท้าย พวกเขาฆ่าเซเคมและพ่อของเขาสำหรับความชั่วที่คนเหล่านั้นทำกับพวกเขาและ สำหรับการที่พวกเขาเคารพรูปปั้น นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมลูกชายของยะกู๊บได้ฆ่าคนเหล่านั้นและยึดเงินของพวก เขามาเป็นทรัพย์เชลย
ต่อมา ราเชลได้ตั้งครรภ์และให้กเนิดลูกชายคนหนึ่งชื่อบินยามิน แต่นางต้องทำงานหนักและเสียชีวิตหลังจากคลอด ยะกู๊บได้ฝังนางไว้ที่อัฟรอซ หลุมศพของราเชลยังคงอยู่ที่นั่นจนถึงปัจจุบัน
ลูกชายของยะกู๊บมีทั้งหมด 12 คน จากลีอาห์ได้แก่รูเบน (รอบีล) ซิเมโอน (ชัมอูน) เลวี (ลาวี) ยูดะห์ (ยะฮูด) อิสซาคาร์ (อิซเคร์) และเซบุลุน (ซับลุน) จากราเซลได้แก่ยูซุฟและบินยามิน จากบ่าวของราเชงได้แก่ดานและนัฟตาลี และจากบ่าวของลีอะห์ได้แก่กาดและอาชอร์
ยะกู๊บ ได้มาหาอิสฮากพ่อของเขาและได้ตั้งถิ่นฐานอาศัยอยู่ในหมู่ บ้านเฮบรอนที่ตั้งอยู่ในดินแดนคะนาอันซึ่งอิบรอฮีมเคยอาศัยมาก่อน หลังจากนั้น อิสฮากก็ล้มป่วยและเสียชีวิตเมื่อมีอายุได้ 180 ปี อีเซาและยะกู๊บลูกชายทั้งได้ฝังร่างของพวกเขาไว้กับอิยรอฮีม อัลเคาะลีลพ่อของเขาในถ้ำแห่งหนึ่งที่เขาได้ซื้อมา กล่าวกันว่าอิบรอฮีมได้เสียชีวิตเมื่ออายุได้ 175 ปี
อัลลอฮฺได้ทรงกล่าวไว้ในคัมภีร์กุรอานว่า:
“แล้วใครเล่าที่จะหันเหออกไปจากแนวทางของอิบรอฮีมนอกจากผู้ที่ โฉดเขลาต่อตัวของเขาเอง ? แน่นอน อิบรอฮีมคือผู้ที่เราได้เลือกมาเพื่อรับใช้เราในโลกนี้ และแท้จริง ในปรโลก เขาจะอยู่ในหมู่กัลยาณชน เมื่อผู้อภิบาลของเขากล่าวแก่เขาว่า ‘จงนอบน้อม’ (กล่าวคือ จงเป็นมุสลิม) เขาก็ได้ตอบรับทันทีว่า ‘ฉันได้นอบน้อม (ในฐานะมุลิม) ต่อพระผู้อภิบาลแห่งสากลโลกแล้ว’
ในทำนองเดียวกัน อิบรอฮีมได้สั่งลูกๆของเขาให้ปฏิบัติตามแนวทางเดียวกัน และยะกู๊บก็ได้สั่งบรรดาลูกๆของเขาเช่นกันว่า ‘ลูกๆของฉันเอ๋ย อัลลอฮฺได้ทรงเลือกแนวทางแห่งชีวิตนี้สำหรับพวกเจ้าแล้ว ดังนั้นพวกเจ้าจงอย่าตายเว้นเสียแต่ว่าพวกเจ้าเป็นมุลิม’
สูเจ้าอยู่ที่นั่นด้วยหรือไม่เมื่อตอนยะกู๊บใกล้ตาย ? เขาได้ถามลูกๆของเขาว่า ‘หลังจากฉันแล้ว พวกเจ้าจะเคารพภักดีผู้ใด ?’ พวกเขากล่าวว่า ‘เราจะเคารพภักดีพระผู้เป็นเจ้าที่ท่าน บรรพบุรุษของท่านอิบรอฮีม อิสมาอีลและอิสฮากยอมรับว่าเป็นพระเจ้าของพวกเขา และเราเป็นผู้นอบน้อมต่อพระองค์’
พวกเขาคือหมู่ชนที่ล่วงลับไปแล้ว พวกเขาจะได้รับการตอบแทนสำหรับสิ่งที่พวกเขาได้ขวนขวายไว้และสูเจ้าจะไม่ถูก สอบถามเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาปฏิบัติ
พวกเขากล่าวว่า ‘จงเป็นยิวหรือเป็นคริสเตียนเถิด แล้วูเจ้าจะได้อยู่ในทางนำ’ จงกล่าวแก่พวกเขาเถิด (มูฮัมมัด) ว่า ‘ไม่ เราปฏิบัติตามแนวทางของอิบรอฮีมเท่านั้น และเขาไม่ได้อยู่ในหมู่ผู้ตั้งภาคี’
(โอ้มุสลิม) จงกล่าวแก่พวกเขาเถิดว่า ‘เราศรัทธาในอัลลอฮฺและทางนำที่ได้ถูกประทานลงมาแก่เราและที่ได้ถูกประทานลง มาแก่อิบรอฮีม อิสมาอีล อิสฮาก ยะกู๊บและลูกหลานของเขาและที่ได้ถูกประทานมาแก่มูซา อีซา และที่ได้ถูกประทานแก่ท่านนบีทั้งหลายจากพระผู้อภิบาลของเขาทั้งหลาย เรามิได้จำแนกคนหนึ่งคนใดในหมู่พวกเขา และเราเป็นผู้นอบน้อมต่อพระองค์’ เพราะฉะนั้น ถ้าพวกเขาศรัทธาอย่างที่พวกสูเจ้าได้ศรัทธา พวกเขาก็อยู่ในทางนำ แต่ถ้าพวกเขาหันกลับ ก็แสดงว่าพวกเขาเป็นผู้ดื้อรั้น ดังนั้นจงมั่นใจได้เลยว่าอัลลอฮฺนั้นเพียงพอแล้วที่จะป้องกันสูเจ้าจากพวก เขา พระองค์ทรงได้ยินทุกสิ่งและทรงรอบรู้ทุกสิ่ง
ศาสนา (ซิบเฆาะห์) ของเราคือ ศาสนา (ซิบเฆาะห์) ของอัลลอฮฺ ? และศาสนาใดเล่าที่จะดีไปกว่าศาสนาของอัลลอฮฺ ? และเราเป็นผู้เคารพภักดีต่อพระองค์
(โอ้ มุฮัมมัด) จงกล่าว (แก่พวกยิวและคริสเตียน) ว่า ‘พวกท่านโต้เถียงเราเกี่ยวกับอัลลอฮฺกระนั้นหรือ ทั้งๆที่พระองค์คือพระผู้อภิบาลของเรา และพระผู้อภิบาลของพวกท่าน ? เราจะรับผิดชอบต่อพระองค์สำหรับการงานของเราและท่านจะรับผิดชอบต่อพระองค์ สำหรับการงานของท่านและเราเป็นผู้อุทิศการภักดีอันบริสุทธิ์ใจของเราต่อ พระองค์ หรือพวกท่านกล่าวว่าอิบรอฮีม อิสมาอีล อิสฮาก ยะกู๊บ และลูกหลานของเขาเป็นยิวหรือคริสเตียน ?’ จงถามพวกเขาว่า ‘พวกท่านรู้ดีกว่าอัลลอฮฺได้มอบหมายให้แก่เขา ? และอัลลอฮฺมิทรงเฉยเมยในสิ่งที่พวกท่านกระทำ’” (กุรอาน 2:130-140)
ในอีกซูเราะฮฺหนึ่งอัลลอฮฺได้ทรงกล่าวว่า :
“โอ้ชาวคัมภีร์ (ชาวยิว และชาวคริเตียน) ไฉนสูเจ้าจึงโต้แย้งกับเราเกี่ยวกับอิบรอฮีมในเมื่อเตารอตและอินญีลถูก ประทานหลังจากเขาเป็นเวลานานแล้วสูเจ้าทำไมไม่ใช้สติปัญญาคิดถึงเรื่องนี้ ?
สูเจ้ามีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสิ่งที่สูเจ้ามีความรู้อยู่แล้ว แต่ไฉนสูเจ้าจึงยังมาโต้แย้งเกี่ยวกับสิ่งทที่สูเจ้าไม่มีความรู้เลย ? และอัลลอฮฺทรงรอบรู้แต่สูเจ้าไม่รู้
อิบรอฮีมมิได้เป็นยิวและมิได้เป็นคริสเตียน แต่ว่าเขาเป็นมุสลิมที่มั่นคงในความศรัทธา และเขาไม่ได้อยู่ในหมู่พวกตั้งภาคี (กล่าวคือเขามิได้เอาสิ่งใดมาร่วมกับอัลลอฮฺในการเคารพสักการะ)
แท้จริง ในหมู่มนุษยชาติที่มีสิทธิ์อ้างว่ามีความสัมพันธ์กับอิบรอฮีมก็คือบรรดาผู้ ปฏิบัติตามอิบรอฮีมและนบีผู้นี้ (มุฮัมมัด) และบรรดาผู้ศรัทธา (มุสลิม) และอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงคุ้มครองบรรดาผู้ศรัทธา” (กุรอาน 3:65-68)
อัลลอฮฺผู้ทรงสูงส่งได้ยืนยันว่า :
“อย่างไรก็ตาม พระผู้อภิบาลของสูเจ้าเป็นผู้ทรงอภัยผู้ทรงเมตตาต่อบรรดาผ้ำนึกผิดและปรับ ปรุงตนเองหลังจากที่ได้ทำความชั่วไปแล้วเพราะความโง่เขลา
แท้จริง อิบรอฮีมคืออุมมะฮฺหนึ่ง (ผู้นำคนหนึ่งที่มีคุณสมบัติอันดีงามทุกอย่าง หรือชาติหนึ่ง) เขาเชื่อฟังอัลลอฮฺและหันหน้าไปหาพระองค์อย่างเดียวและเขาไม่ได้เป็นผู้ เคารพสักการสิ่งอื่นใดนอกไปจากอัลลอฮฺเขาเป็นผู้กตัญญูต่อความโปรดปรานของ อัลลอฮฺเสมอ ดังนั้น พระองค์จึงได้ทรงเลือกเขาและแสดงทางนำที่เที่ยงตรงแก่เขา และเราได้โปรดปรานความดีงามให้แก่เขาในโลกนี้ และแน่นอนที่สุด เขาจะได้อยู่กับบรรดาผู้มีคุณธรรมในโลกหน้า
แล้วเราก็ได้มีวะฮีย์แก่เจ้า (มุฮัมมัด โดยกล่าว) ว่า ‘จงปฏิบัติตามแนวทางของอิบรอฮีมอย่างมุ่งมั่นแต่เพียงอย่างเดียว’ และเขาไม่ได้เป็นหนึ่งในบรรดาผู้ตั้งภาคี” (กุรอาน 16:119-123)
ที่มา: muslimchiangmai.net