ไม่ให้สินค้ามีตรา “หะลาล” เข้าวัด..ก็ไม่เป็นไร


1,836 ผู้ชม

การเหยียดหยาม เยาะเย้ยถากถาง ต่อต้าน กระทั่งทำร้ายร่างกาย ย่อมมีได้ทุกๆ นบีซึ่งนำสัจธรรมมาให้แด่กลุ่มชน หรือประชาชาติของตนเองเสมอ...


ไม่ให้สินค้ามีตรา “หะลาล” เข้าวัด..ก็ไม่เป็นไร

เตือนฉันเตือนเธอ หะดีษที่ 710 โดย อ.มุรีด ทิมะเสน

ท่านอับดุลลอฮฺ เล่าว่า : 

كَأَنِّي أَنْظُرُ إِلَى رَسُولِ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يَحْكِي نَبِيًّا مِنَ الْأَنْبِيَاءِ ضَرَبَهُ قَوْمُهُ، وَهُوَ يَمْسَحُ الدَّمَ عَنْ وَجْهِهِ، وَيَقُولُ: «رَبِّ اغْفِرْ لِقَوْمِي فَإِنَّهُمْ لَا يَعْلَمُونَ»

“เสมือนหนึ่งฉันมองไปยังท่านรสูลุลลอฮฺกำลังเล่าเรื่องราวนบีท่านหนึ่งจากนบีทั้งหลาย [1] ว่าด้วยกลุ่มชนของท่านนบีเองทำร้ายนบีท่านนั้น, นบีท่านนั้นถึงกับเช็ดเลือดออกจากศีรษะของเขา พลางวิงวอนขึ้นว่า โอ้พระผู้อภิบาลของฉัน ขอพระองค์ทรงโปรดอภัยโทษให้แก่กลุ่มชนของฉันด้วยเถิด เพราะแท้จริงพวกเขาไม่รู้” [2]

ไม่ให้สินค้ามีตรา “หะลาล” เข้าวัด..ก็ไม่เป็นไร

สิ่งที่ได้รับจากหะดีษ

แทบจะไม่ต้องอธิบายเลยว่า กว่าเราจะได้อิสลามมาปฏิบัติได้อย่างสบายอกสบายใจนั้น ท่านนบีของเราต้องฟันฝ่าอุปสรรคยากเย็นเข็ญใจเพียงใดกว่าอิสลามจะตกทอดมาถึงเราทุกวันนี้, บรรดานบีซึ่งถูกส่งมาในแต่ละยุคแต่ละสมัยด้วยแล้ว กว่าจะทำให้ผู้คนในยุคนั้นๆ เข้าใจถึงการเป็นพระเจ้าของอัลลอฮฺ ต้องใช้ความอุตสาหะมากเพียงใด แต่ละนบีย่อมมีบททดสอบอันแตกต่างกันไป แต่ที่เหมือนกันคือ อุปสรรคนานัปการกว่าจะให้ผู้คนในยุคของตนเข้าใจศาสนา หาใช่เรื่องง่ายๆ เลยทีเดียว

การเหยียดหยาม เยาะเย้ยถากถาง ต่อต้าน กระทั่งทำร้ายร่างกาย ย่อมมีได้ทุกๆ นบีซึ่งนำสัจธรรมมาให้แด่กลุ่มชน หรือประชาชาติของตนเองเสมอ แทบจะไม่มีนบีท่านใดเลยที่นำสัจธรรมให้แก่กลุ่มก้อนของตนเอง แล้วไม่ถูกต่อต้าน ไม่ถูกปฏิเสธ จนถึงขั้นถูกทำร้ายร่างกายเลือดตกยางออกดั่งที่เราทราบในประวัติศาสตร์ ไม่เว้นแม้แต่ท่านนบีมุหัมมัด ซึ่งถูกทำร้ายไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง กระนั้นก็ตาม บรรดานบีเหล่านั้นก็อดทน อดกลั้น เพียงหวังว่าพวกเขาจักสำนึกใคร่ครวญหันกลับเข้ามายอมจำนนต่อพระองค์อัลลอฮฺ ลางทีการไม่ตอบโต้ของบรรดานบี เพียงเพราะพวกเขาไม่รู้ หากพวกเขารู้คงไม่ทำร้ายบรรดานบีหรอก นี่คือจุดเด่นของบรรดานบีเลยก็ว่าได้ อดทน อดกลั้นเป็นเลิศ ไม่ผลีผลาม สุขุมเยือกเย็น เพราะหากตัดสินใจอะไรผิดพลาด ความเสียหายอาจเกิดขึ้นใหญ่หลวงนัก การเอาชนะศัตรู หรือผู้ปฏิเสธ มิได้หมายรวมต้องใช้ความรุนแรงโต้กลับเฉกเช่นพวกเขากระทำกับเราเสียหน่อย จึงไม่แปลกใจหรอกว่า

ทำไมท่านนบีบางท่านจึงเลือกตอบโต้ด้วยการให้อภัย และวิงวอนต่ออัลลอฮฺให้ยกโทษพวกเขาเสีย เพียงเพราะพวกเขาไม่รู้นั่นเอง หากพวกเขารู้ก็คงไม่ทำเช่นนั้นกับท่านนบีหรอก แทบไม่น่าเชื่อว่าวิธีข้างต้น ล้วนได้ผล สามารถยึดครองหัวจิตหัวใจคู่กรณีคู่ปรปักษ์ก่อนที่พวกเขาจะยอมจำนนต่ออิสลามด้วยซ้ำ

บทเรียนข้างต้น มิได้หายไปกับกาลเวลาหรอกนะ ย่อมเกิดขึ้นได้ในทุกๆ สังคมมุสลิมซึ่งอยู่ร่วมปะปนกับพี่น้องต่างความเชื่อ การถ้อยทีถ้อยอาศัยกับพี่น้องต่างความเชื่อ เราอยู่ร่วมโดยศานติ โดยสงบสุขได้โดยไม่ยากเย็นนัก กล่าวคือ ความเชื่อของศาสนาใดก็ให้ผู้นับถือศาสนานั้นปฏิบัติไปความเชื่อของตน ไม่ล่วงละเมิดต่อกันและกัน ไม่ดูแคลนและเหยียดความเชื่อ หรือถากถางการปฏิบัติของอีกฝ่ายหนึ่ง ต่างคนต่างทำในสิ่งที่ตนเชื่อ นี่หละคือสันติภาพ และเสรีภาพในนับถือศาสนาอย่างแท้จริง

ดั่งเช่นกรณี บางวัดไม่อนุญาตให้ญาติโยมนำอาหารที่มีเครื่องหมาย “หะลาล” เข้าวัด นี่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลยนะ เป็นสิทธิของเขาที่จะไม่บริโภคอาหารที่มีเครื่องหมาย “หะลาล” เพราะพวกเขามิได้เชื่อเหมือนเราเชื่อ คำสอนอิสลามสอนให้มุสลิมพิถีพิถันในเรื่องการบริโภค อะไรกินได้อะไรกินไม่ได้ต้องเคร่งครัด เพราะมิเช่นนั้นจะส่งผลถึงการทำอิบาดะฮฺของเรา หรือส่งผลถึงวันแห่งการตัดสินในโลกหน้าอีกด้วย มุสลิมจึงต้องเคร่งครัดในเรื่องดังกล่าว ส่วนพี่น้องต่างความเชื่อ เขามิได้เชื่อเหมือนเรา เขามีสิทธิ์ปฏิเสธการนำอาหารที่เครื่องหมาย “หะลาล” เข้าไปยังศาสนสถานของเขา นี่เรื่องปกติ

ยิ่งไปกว่านั้นให้พี่น้องมุสลิมคิดเสียว่า “เพราะพวกเขาไม่รู้” ลึกลงไปอีก วิงวอนให้พวกเขาเกิดความเข้าใจในศาสนาเรา และเปิดใจกว้างยอมรับความเชื่อต่างกัน แบบนี้หละคือวิถี “แห่งนบี” แม้กระทั่งท่านนบีมุหัมมัดของเราก็เคยกระทำเยี่ยงนี้มาแล้วขณะเดินทางไปเชิญชวนชาวเมืองฏออิฟแล้วถูกทำร้าย ทว่าท่านนบีเลือกตอบโต้ด้วยการให้อภัย และดุอาอ์, บางเรื่องต้องใจร่มๆ ตั้งสติให้ดีๆ รำลึกเสมอว่า หากท่านนบีเผชิญกับเหตุการณ์ข้างต้น ท่านนบีจะแก้ไขเช่นไร? นี่หละคือวิถีแห่งการตามท่านนบีอย่างแท้จริง (อัลหัมดุลิลลาฮฺ)

[1] บ้างก็ว่าหมายถึงท่านนบีนูหฺ และบ้างก็ว่า หมายถึง ท่านนบีมุหัมมัด (วัลลอฮุอะอฺลัม)

[2] หะดีษเศาะหี้หฺ, บันทึกโดยบุคอรีย์ หะดีษที่ 3477

https://islamhouse.muslimthaipost.com/article/23640

อัพเดทล่าสุด